tag:blogger.com,1999:blog-63620010477821088302024-03-18T21:39:57.456-07:00EBBIJohnBaptistHenryhttp://www.blogger.com/profile/02868801750545362821noreply@blogger.comBlogger16125tag:blogger.com,1999:blog-6362001047782108830.post-63272596847234303172015-10-05T08:00:00.001-07:002015-11-13T06:42:24.116-08:00Acrobat Dog & Alex Van Duong<div id="fb-root"></div><script>(function(d, s, id) { var js, fjs = d.getElementsByTagName(s)[0]; if (d.getElementById(id)) return; js = d.createElement(s); js.id = id; js.src = "//connect.facebook.net/en_US/sdk.js#xfbml=1&version=v2.3"; fjs.parentNode.insertBefore(js, fjs);}(document, 'script', 'facebook-jssdk'));</script><div class="fb-video" data-allowfullscreen="1" data-href="/MabelKatzFanPage/videos/vb.58302598306/10153185209818307/?type=3"><div class="fb-xfbml-parse-ignore"><blockquote cite="https://www.facebook.com/MabelKatzFanPage/videos/10153185209818307/"><a href="https://www.facebook.com/MabelKatzFanPage/videos/10153185209818307/"></a><p>Great team // Buen equipo</p>Posted by <a href="https://www.facebook.com/MabelKatzFanPage">Mabel Katz</a> on Tuesday, March 10, 2015</blockquote></div></div>JohnBaptistHenryhttp://www.blogger.com/profile/02868801750545362821noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6362001047782108830.post-14903306862799624242011-09-19T23:02:00.000-07:002015-09-02T21:53:10.580-07:00Elenin & Honda
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi8WUOiFF0zJEwSBN81xY8LOuhRPlHPzG1-q-eBFHtbOX_P25Q2xJ81HwW1HnPvcyvC8uPW4Feb0OnetrZeN-0FJsZEDwgFDUvo9rt4iyCQxjaZy1u4sWrqFpKULnuFkJY9SB6SE0Czsxa5/s1600/wai.gif" imageanchor="1" ><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi8WUOiFF0zJEwSBN81xY8LOuhRPlHPzG1-q-eBFHtbOX_P25Q2xJ81HwW1HnPvcyvC8uPW4Feb0OnetrZeN-0FJsZEDwgFDUvo9rt4iyCQxjaZy1u4sWrqFpKULnuFkJY9SB6SE0Czsxa5/s1600/wai.gif" /></a>
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDOvCPU43LvAW8GxH7xxMbNleQp9eh1qTsMULhkx1p4KkjpaXvRdjCcqjikVSw0rQIUh5rxfNxWFxDDwBMqqMCH-2WHoMu9cDmDZKTWmNAp0T-sWNoYETTyM4rovPDu0CVdITn9LKeR7fh/s1600/wai.gif" imageanchor="1" ><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDOvCPU43LvAW8GxH7xxMbNleQp9eh1qTsMULhkx1p4KkjpaXvRdjCcqjikVSw0rQIUh5rxfNxWFxDDwBMqqMCH-2WHoMu9cDmDZKTWmNAp0T-sWNoYETTyM4rovPDu0CVdITn9LKeR7fh/s640/wai.gif" /></a>
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhRXbBlXiekBIrSVs5m-aEP5a2t-Wq0Q8Aj9srI-DOp7QpLzJBVnCyJUkRXAQsF5C51H9SomKMJ6g3kyc1MbGbHtDfaMZct_QTAkGnF_B2-qqw5LciAtREbz-IeRb1RpNtYSKpkMj4AfltC/s1600/wai.gif" imageanchor="1" ><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhRXbBlXiekBIrSVs5m-aEP5a2t-Wq0Q8Aj9srI-DOp7QpLzJBVnCyJUkRXAQsF5C51H9SomKMJ6g3kyc1MbGbHtDfaMZct_QTAkGnF_B2-qqw5LciAtREbz-IeRb1RpNtYSKpkMj4AfltC/s320/wai.gif" /></a>
<center><big><big><big><big><b><a href="http://members.westnet.com.au/mmatti/webpage/2010X1_Elenin.htm" target="_blank"> ดาวหาง เอลีนิน และ ฮอนด้า</a></b></big></big></big></big>
<br /><br />
"<i>พระเจ้าตรัสว่า <b><u>จงให้มีดวงสว่างบนพื้นฟ้าอากาศ</u></b> เพื่อแยกวันออกจากคืน และ<br /><b><u>เพื่อใช้เป็นหมายสำคัญ</u></b> และที่กำหนดฤดู วันและปีต่างๆ</i>" (<b>ปฐมกาล 1:14</b>)<br /><br />
<a href="http://elenin.org/honda-levy.php" target="_blank"> <img src="http://graphics.landmarkbiblebaptist.net/Moon-Stars/comet-elenin.gif" border="0" align="center" hspace="0" vspace="0" style="width: 400px; height: 300px;"></a></center><br /><br />
<big>นักดาราศาสตร์มือสมัครเล่นชาวรัสเซียชื่อว่า ลีโอนิด เอลีนิน (Leonid Elenin) จาก ไลย์ยูเบอท์ซี (Lyubertsy) ใกล้มอสโก ได้ค้นพบดาวหาง ขนาด ความสว่าง 19 (<b>ดู้โน็ต 1</b>) ซึ่งเป็นขนาดที่มองไม่เห็นได้โดยตาเปล่า (เรียกว่า C/2010 X1) เมื่อ 10 ธันวาคม 2010 โดยใช้กล้องโทรทรรศน์ควบคุมจากระยะไกลตั้งอยู่ใน รัฐ นิว เม็กซิโก (New Mexico) สหรัฐอเมริกา<br /><br />
ดาวหาง เอลีนิน เข้าใกล้กับดวงอาทิตย์ที่สุดในวันที่ 10 กันยายน 2011 ระยะทางความห่าง หน่วยดาราศาสตร์ (AU) 0.48 (<b>ดูโน็ต 2</b>) เอลีนิน จะใกล้โลกมากที่สุดในวันที่ 16 และ 17 ตุลาคม 2011 ระยะทางความห่าง 0.23 หน่วยดาราศาสตร์ (AU) หรือประมาณ 22 ล้านกิโลเมตร จากโลก เมื่อใกล้ที่สุดกับโลก<br /><br />
ในช่วงสิงหาคม เอลีนิน เห็นไม่ค่อยสว่างเท่าไหร่ ความสว่างอยู่ราวๆขนาด ความสว่างที่ 10 แต่คนที่อยู่ซีกโลกใต้จะสามารถมองเห็นขนาด ความสว่างที่ 4 ในช่วงต้นกันยายน 2011 พอเวลาช่วงกลางเดือนกันยายนจะยังคงสดใส แต่จะหายไปตอนเย็นพลบค่ำ ในช่วงต้นเดือนตุลาคม เอลีนิน จะขึ้นอีกในท้องฟ้ายามเช้าในซีกโลกเหนือ ในช่วงกลางเดือนตุลาคมอีกครั้งจะสามารถมองเห็นได้ในซีกโลกใต้ แต่แสงจันทร์จะรบกวนจนถึง 23 ตุลาคม<br /><br />
ดาวหางอีกดวงหนึ่งที่ชื่อว่า ฮอนด้า จะเข้าร่วมกับ เอลีนิน ในวันที่ 7 ตุลาคม 2011 บนขอบฟ้าทิศตะวันออกในซีกโลกเหนือ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่จะมีโอกาศเกิดขึ้นน้อยมากๆ ที่จะเห็นดาวหาง สองดวงพร้อมกัน ดาวหางทั้งสองจะมีแสงประมาณ 5 หรือ 6 ขนาด และจะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าที่ท้องฟ้ามืดทึบ<br /><br />
<center><img src="http://graphics.landmarkbiblebaptist.net/Moon-Stars/Eleinin-Honda.jpg" border="3" align="center" hspace="0" vspace="0" style="width: 450px; height: 200px;"></center><br /><br />
<b>ฮอนด้า เอลีนิน และเทศกาลของอิสราเอล</b><br /><br />
ดาวหางสองดวงนี้น่าสนใจมากอยู่แล้ว แต่ยิ่่่่่่งน่าสนใจเมื่อรู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับเทศกาลของพระคัมภีร์เดิมยังไง ใน เลวีนิติ บทที่ 23 พูดถึงที่พระเจ้ากำหนด 7 เทศกาลที่พระองค์ให้คนอิสราเอลรักษา เทศกาลเหล่านี้เป็นการพยากรณ์ที่เล็งถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น สามเทศกาลอันแรกพระเยซูทำสำเร็จแล้วเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ ฝังไว้ สามวันสามคืน และ เป็นขึ้นจากมาความตาย (คือเทศกาลปัสกา, คือ เทศกาลขนมปังไร้เชื้อ และ เทศกาลผลอันแรก) เทศกาลที่ สี่ คือ เทศกาลเพนเทศเตย์ ซึ่งเล็ง ถึง ยุคคริสตจักรปัจจุบัน สามเทศกาลสุดท้าย เป็น <b>1) เทศกาลเป่าแตร</b> (เล็งถึงการรวบรวม), <b>2) วันลบมลทิน</b> (หมายถึง เจ็ดปีแห่งความทุกข์ลำบาก), <b>3) เทศกาลอยู่เพิง</b> (พยากรณ์ถึง 1000 ปี ที่พระเยซูจะครอบครองโลก) <br /><br />
เทศกาลเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดาวหางดังต่อไปนี้<br /><br />
1. โลก เอลีนิน ดวงอาทิตย์ และ ดาวพุธ ซึ่งจะอยู่อีกด้านหนึ่งของดวงอาทิตย์ อยู่ในแนวที่ตรงกัน ในวันที่ 28 กันยายน 2011 เอลีนิน แตกแถว วันที่ 29 กันยายนเป็นงานฉลองเทศกาลเป่าแตร เป็นเครื่องหมายเล็งให้เห็นถึง <b>การรวบรวม</b> (<b>เลวีนิติ 23:23-25, 1 เธสะโลนิกา 4:13-18, 1 โครินธ์ 15:51-52</b>) พร้อมกันกับเหตุการณ์เหล่านี้ สมัชชาสหประชาชาติจะอยู่ในการประชุมกันในวันที่ 28-30 กันยายน เพื่อลงคะแนนเสียงว่าจะให้เพียงฝ่ายเดียวประกาศเป็นรัฐปาเลสไตน์ การกระทำอันนี้เป็นเหตุทำให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธ เพราะพระองค์บอกว่า "<i>เราจะรวบรวมบรรดาประชาชาติทั้งสิ้น ... และเราจะเข้าสู่การพิพากษากับเขาที่นั่นด้วยเรื่องประชาชนของเรา คืออิสราเอลมรดกของเรา เพราะว่าเขา ... ได้แบ่งแผ่นดินของเรา</i>" (<b>โยเอล 3:2</b>) <b>การรวบรวม</b> ต้องเกิดขึ้นก่อน พระเจ้าพิพากษาโลกใน 7 ปีแห่งทุกข์ลำบาก <! -- การฉลองชดใช้ = Feast of Atonement --><br /><br />
<center><img src="http://prophecy.landmarkbiblebaptist.net/Pics/EleninHonda28Sep2011Trumpets.gif" border="3" align="center" hspace="0" vspace="0" style="width: 619px; height: 434px;"></center><br /><br />
2. เมื่อ เอลีนิน และ ฮอนด้า กลายเป็นที่มองเห็นร่วมกันในคืนวันที่ 7 ตุลาคมที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของ<b>เทศกาลลบมลทิน</b> ซึ่งเป็นภาพเล็งถึง 7 ปี แห่งความทุกข์ลำบาก (<b>เลวีนิติ 23:26-32, ดาเนียล 9:27, 12:1; มัทธิว 24:21</b>) เหตุการณ์นี้บางที่อาจจะเล็งถึงพยานทั้งสองของพระเจ้าที่จะปรากฎ ในเริ่มต้นของ 7 ปีแห่งความทุกข์ลำบาก วิวรณ์ 11 บอกว่า "<i>และเราจะให้ฤทธิ์อำนาจแก่<u>พยานทั้งสอง</u>ของเรา และเขาจะพยากรณ์ตลอดพันสองร้อยหกสิบวัน นุ่งห่มด้วยผ้ากระสอบ พยานทั้งสองนั้นคือต้นมะกอกเทศสองต้น และ<u>คันประทีปสองคัน</u>ที่ตั้งอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้า ผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งแผ่นดินโลก</i>" (<b>วิวรณ์ 11:3-4</b>)<br /><br />
<center><img src="http://prophecy.landmarkbiblebaptist.net/Pics/EleninHonda7Oct2011Atonement.jpg" border="3" align="center" hspace="0" vspace="0" style="width: 400px; height: 331px;"></center> <br /><br />
3 เมื่อ เทศกาลอยู่เพิง (คือวันที่ 13-20 ตุลาคม ทั้งหมด 8 วัน) เอลีนิน จะเข้ามาอยู่ใกล้กับโลกมากที่สุดในวันที่ 16 และ 17 ตุลาคม (อยู่ตรงกลางเทศกาลพอดีเลย) ระยะทางที่ 22 ล้านกิโลเมตร (0.233 AU) เทศกาลอยู่เพิง พยากรณ์ถึง 1000 ปี ที่พระเยซูจะครอบครองโลก (เลวีนิติ 23:33-43, วิวรณ์ 20:1-6, 21:1-7) <br /><br />
<center>
<img src="http://prophecy.landmarkbiblebaptist.net/Pics/Elenin16Oct2011Tabernacles.gif" border="3" align="center" hspace="0" vspace="0" style="width: 400px height: 331px;"></center><br /><br />
"<i><b>จะมีหมายสำคัญที่ดวงอาทิตย์ ที่ดวงจันทร์ และที่ดวงดาวทั้งปวง</b> และบนแผ่นดินก็จะมีความทุกข์ร้อนตามชาติต่างๆ ซึ่งมีความฉงนสนเท่ห์เพราะเสียงกึกก้องของทะเลและคลื่น จิตใจมนุษย์ก็จะสลบไสลไปเพราะความกลัว และเพราะสังหรณ์ถึงเหตุการณ์ซึ่งจะบังเกิดในโลก ด้วยว่า ‘บรรดาสิ่งที่มีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้านไป’ เมื่อนั้นเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆ ทรงฤทธานุภาพและสง่าราศีเป็นอันมาก เมื่อเหตุการณ์ทั้งปวงนี้เริ่มจะบังเกิดขึ้นนั้น จงยืดตัวและผงกศีรษะขึ้น ด้วยการไถ่ท่านใกล้จะถึงแล้ว</i>” (<b>ลูกา 21:25-28</b>)<br /><br />
ดาวหาง เอลีนิน กับ ฮอนด้า เป็นหมายสำคัญ ที่แสดงว่าคนที่รอดในพระเยซูคริสต์ควรจะ "<i>ยืดตัวและผงกศีรษะขึ้น</i>" และคนที่ยังไม่เคยต้อนรับพระเยซูคริสต์ควรจะกลับใจและไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ </big><br /><br />
<center><iframe width="450" height="400" src="http://www.youtube.com/embed/DXLdAW3rYHs?hl=en&fs=1" frameborder="0" allowfullscreen></iframe><br /></center><br /><br />
<big><big><b><u>โน็ต</u></b></big><br /><br />
1. ดาวที่มองเห็นได้วัดโดยความสว่าง (Magnitude - ขนาด) ในระดับ 1 ถึง 6 ความสว่าง ในระดับที่มีตัวเลขที่มากกว่าที่ 6 มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า วัตถุที่สว่างกว่า 1 ขนาดจะถูกระบุเป็นลบ (เช่น -1, -2, -3)<br /><br />
2. หนึ่งหน่วยดาราศาสตร์ (AU - Astronomical Unit) เป็นระยะทางความห่าง 149 ล้านกิโลเมตร หรือ ระยะห่างจากจุดศูนย์กลางของโลกไปยังศูนย์กลางของดวงอาทิตย์</big><br /><br /><br /><br /><br><br>
JohnBaptistHenryhttp://www.blogger.com/profile/02868801750545362821noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6362001047782108830.post-31455004551066589382011-05-20T19:55:00.000-07:002014-07-11T20:28:49.406-07:00Prophecy Video<center><b><big><big>Prophecy Is Being Fulfilled In Our Day</b></big></big><br /><br /><object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/p/40726594A4107355?hl=en_US&fs=1"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/p/40726594A4107355?hl=en_US&fs=1" type="application/x-shockwave-flash" width="480" height="385" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></embed></object></center><br /><br /><br><br><br>JohnBaptistHenryhttp://www.blogger.com/profile/02868801750545362821noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6362001047782108830.post-66801951202007620952011-05-20T09:36:00.000-07:002011-05-22T23:50:49.766-07:00VIDEO<center><br /><big><big><big><b>วีดีโอเกี่ยวกับพระคัมภีร์ และประวัติศาสตร์</b></big></big></big><br /><big><big><b>BIBLICAL & HISTORICAL VIDEOS</b><br /><br /><a href="http://esanbibleinstitute.blogspot.com/2011/05/prophecy.html" target="_blank">คำพยากรณ์ของพระคัมภีร์กำลังสำเร็จในยุคของเรา</a><br /><a href="http://www.youtube.com/watch?v=5m-exANwJtI" target="_blank">จดหมายรักจากพระบิดา</a><br /><a href="http://www.youtube.com/watch?v=3jRCSWLeoro&p=3ADDE07754CE84F3" target="_blank">ความสว่างแห่งโลก</a><br /><br /><a href="http://www.conceptwizard.com/nutoo/nutshell3.html" target="_blank">History of the Crisis in Israel - Part I</a><br /><a href="http://www.conceptwizard.com/conen/conflict_2.html" target="_blank">History of the Crisis in Israel - Part II</a><br /></big></big><br /><br /><img src="http://personal.LandmarkBibleBaptist.net/logo-landmark.doctrine.gif" height=40 width=200 alt="Landmark Bible Baptist"><br /><br /></center>JohnBaptistHenryhttp://www.blogger.com/profile/02868801750545362821noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6362001047782108830.post-52043836469001252932011-05-20T02:47:00.000-07:002011-05-22T23:34:14.403-07:00Contents<center><br /><b><big><big><big><big><big>สารบัญ</big></big></big></big></big><br /><big><big>TABLE OF CONTENTS</big></big></b><br /><br /><a href="http://esanbibleinstitute.blogspot.com/2011/02/blog-post.html" >เป้าหมายของพระเจ้าสำหรับมนุษย์ทุกคน</a><br /><a href="http://esanbibleinstitute.blogspot.com/2011/01/39-10-1.html" >พระคัมภีร์และวิทยาศาสตร์</a><br /><a href="http://esanbibleinstitute.blogspot.com/2011/01/blog-post.html">การสร้างในกรณีพิเศษของพระเจ้า</a><br /><a href="http://esanbibleinstitute.blogspot.com/2010/11/ruth.html">เพราะเหตุใดพระเยซูคริสต์จึงเสด็จลงมาบังเกิด?</a><br /><br /><big><big><big>สุภาพสตรี</big></big></big><br /><br /><a href="http://esanbibleinstitute.blogspot.com/2010/12/ruth.html" > สันติสุขที่แท้จริงคืออะไร?</a><br /><a href="http://esanbibleinstitute.blogspot.com/2010/12/ruth_24.html">แผนการของพระเจ้าสำหรับท่าน</a><br /> <br /><br /> <br /><a href="http://Thai.LandmarkBibleBaptist.net" target="_blank"><img src="http://personal.LandmarkBibleBaptist.net/logo-landmark.doctrine.gif" height=40 width=200 alt="Landmark Bible Baptist"></a> <br /><br /><a href="http://www.facebook.com/group.php?gid=127034217314527" target="_blank"><img src="http://personal.LandmarkBibleBaptist.net/logo-facebook2.png" height=30 width=195 alt="Baptist FaceBook"></a> <br /><br /><a href="http://groups.google.com/group/EBBI?hl=th" target="_blank"><img src="http://personal.LandmarkBibleBaptist.net/logo-EBBIgroup.bmp" height=40 width=195 alt=" EBBI Group"></A> <br /><br /><a href="http://thai.LandmarkBibleBaptist.net" target="_blank"><img src="http://personal.LandmarkBibleBaptist.net/logo-landmark.history.gif" height=40 width=200 alt="Landmark Bible Baptist"></a><br /></center><br /><br /><a href="http://Thai.LandmarkBibleBaptist.net" target="_blank">The Church</a><br /><a href="http://Thai.LandmarkBibleBaptist.net" target="_blank">Landmark Baptist Belief</a><br /><a href="http://Thai.LandmarkBibleBaptist.net" target="_blank">Obadiah Holmes Lashed</a><br /><a href="http://Thai.LandmarkBibleBaptist.net" target="_blank">Obadiah Holmes' Will</a><br /><br /><br><br><br><br>JohnBaptistHenryhttp://www.blogger.com/profile/02868801750545362821noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6362001047782108830.post-44471806674063882602011-02-16T22:10:00.000-08:002011-05-20T10:07:33.871-07:00เป้าหมายของพระเจ้าสำหรับมนุษย์ทุกคน<big>พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เพราะเรารู้เป้าหมายที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นเป้าหมายเพื่อสันติภาพ ไม่ใช่เพื่อความชั่ว เพื่อจะให้อนาคตตามที่คาดหมายไว้แก่เจ้ า( เยเรมีย์ 29:11) <br />ก่อนสิ่งอื่นใดข้าพเจ้าขอยกย่ององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่พระองค์ทรงมีแผนการที่ดีต่อมนุษย์ทุกคน ข้าพเจ้าเชื่อว่าหลายคนยังไม่ทราบถึงการทรงสร้างของพระเจ้า และไม่รู้ว่าทำไมมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และผลของความบาปนั้นคือความตาย (นรก) ข้าพเจ้าหวังว่าท่านผู้อ่านทุกท่านจะได้รับพระพร ไม่มากก็น้อยหลังที่อ่านหนังสือเล่มนี้ ขอพระเจ้าอวยพรแก่ท่าน เพื่อท่านจะได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น<br /><img src=" http://thai.landmarkbiblebaptist.net/Pic/Bible-star-shining-lite.jpg" height=95 width=106alt=> <br /><b>ใครเป็นอยู่ก่อนที่จะมีโลกนี้</b><br />ในเริ่มแรกนั้นพระวาทะทรงเป็นอยู่แล้ว และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า ในเริ่มแรกนั้นพระองค์นั้นทรงอยู่กับพระเจ้า (ยอห์น 1:1-2)<br />ก่อนที่โลกนี้จะถูกสร้างขึ้นมา มีผู้หนึ่งเป็นอยู่ก่อนแล้วนั่นคือพระวาทะ หรือที่เราเรียกว่า พระเยซู ฉะนั้นผู้ที่สร้างโลกนี้จะต้องเป็น “ พระผู้สร้าง”<br /><br /><b>สรรพสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเองได้หรือ?</b><br /> คำสอนตามวิทยาศาสตร์ปัจจุบันนี้สอนเราว่า โลกนี้มีวิวัฒนาการตามธรรมชาติ ทำให้เข้าใจว่ามนุษย์พัฒนามาจากลิง พญามารหรือที่เราเรียกว่า ซาตาน พยายามล้างสมองของมนุษย์ โดยพยายามแทรกเข้าไปในการเรียน สื่อต่างๆ เช่นโทรทัศน์ วิทยุ ใบโฆษณา หนัง การ์ตูนเด็ก ที่ซาตานหรือที่เราเรียกว่า ผู้ขัดขวางงานของพระเจ้า ทำเช่นนี้ เพราะกลัวมนุษย์จะมาถึงความจริง นั่นคือ “ความรอดนั่นเอง” ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บอกว่า ในเริ่มแรกนั้นพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้า และแผ่นดินโลก (ปฐมกาล 1:1)<br />พระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมา และในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระองค์ (ยอห์น 1:3)<br />สรุปฉะนั้นผู้ที่สร้างโลกนี้ คือ พระเจ้านั่นเอง<br /><img src="http://thai.landmarkbiblebaptist.net/Pic/11images.jpg" height=95 width=106alt=> <br /><br /><b>ในเริ่มแรกนั้นโลกนี้บริสุทธิ์ และมนุษย์ไม่มีบาป บาปเกิดจากอะไร เริ่มมีบาปเมื่อไหร่?</b><br />พระเยโฮวาห์พระเจ้าจึงทรงมีพระดำรัสสั่งมนุษย์นั้นว่า "บรรดาต้นไม้ทุกอย่างในสวนเจ้ากินได้ทั้งหมด แต่ต้นไม้แห่งความรู้ดีและรู้ชั่วเจ้าอย่ากินผลจากต้นนั้นเป็นอันขาด เพราะว่าเจ้ากินในวันใด เจ้าจะตายแน่ในวันนั้น" (ปฐมกาล 2:16-17)<br /><br /><b>มนุษย์ล้มลงในความบาป</b><br /> งูนั้นเป็นสัตว์ที่ฉลาดกว่าบรรดาสัตว์ ในท้องทุ่งซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าได้ทรงสร้างไว้ มันกล่าวแก่หญิงนั้นว่า "จริงหรือที่พระเจ้าตรัสว่า `เจ้าอย่ากินผลจากต้นไม้ทุกชนิดในสวนนี้'" หญิงนั้นจึงกล่าวแก่งูว่า "ผลของต้นไม้ชนิดต่างๆในสวนนี้เรากินได้ แต่ผลของต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งอยู่ท่ามกลางสวน พระเจ้าตรัสว่า `เจ้าอย่ากินหรือแตะต้องมัน มิฉะนั้นเจ้าจะตาย'" งูจึงกล่าวแก่หญิงนั้นว่า "เจ้าจะไม่ตายแน่ เพราะว่าพระเจ้าทรงทราบว่า เจ้ากินผลไม้นั้นวันใด ตาของเจ้าจะสว่างขึ้นวันนั้น และเจ้าจะเป็นเหมือนพระที่รู้ดีรู้ชั่ว" เมื่อหญิงนั้นเห็นว่า ต้นไม้นั้นเหมาะสำหรับเป็นอาหารและมันงามน่าดู และต้นไม้ต้นนั้นเป็นที่น่าปรารถนาเพื่อให้เกิดปัญญา หญิงจึงเก็บผลไม้นั้นแล้วกินเข้าไป แล้วส่งให้สามีของนางด้วย และเขาได้กิน ตาของเขาทั้งสองก็สว่างขึ้น เขาจึงรู้ว่าเขาเปลือยกายอยู่ และเขาทั้งสองก็เอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดอวัยวะส่วนล่างของเขาไว้ (ปฐมกาล3:1-7) <br /> <br /><b>พระเจ้าสาปแช่งเพราะมนุษย์ทำความบาป</b><br />พระองค์ตรัสแก่หญิงนั้นว่า "เราจะเพิ่มความทุกข์ยากให้มากขึ้นแก่เจ้าและการตั้งครรภ์ของเจ้า เจ้าจะคลอดบุตรด้วยความเจ็บปวด เจ้ายังต้องการสามีของเจ้า และเขาจะปกครองเจ้า " (ปฐมกาล3:16) <br /><br />พระองค์ตรัสแก่อาดัมว่า "เพราะเหตุเจ้าได้ฟังเสียงของภรรยาเจ้า และได้กินผลจากต้นไม้ ซึ่งเราได้สั่งเจ้าว่า เจ้าอย่ากินผลจากต้นนั้น แผ่นดินจึงต้องถูกสาปแช่งเพราะตัวเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินนั้นด้วยความทุกข์ยากตลอดวันเวลาในชีวิตของเจ้า"<br />(ปฐมกาล3:17) <br /><br /><b>ความบาปทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าถูกตัดขาด</b><br />แต่ว่าความชั่วช้าของเจ้าทั้งหลายได้กระทำให้เกิดการแยกระหว่างเจ้ากับพระ เจ้าของเจ้า และบาปของเจ้าทั้งหลายได้บังพระพักตร์ของพระองค์เสียจากเจ้า พระองค์จึงมิได้ยิน (อิสยาห์59:2)<br />เหตุฉะนั้นพระเยโฮวาห์พระเจ้าจึงทรงให้เขาออกไปจากสวนเอเดน เพื่อทำไร่ไถนาจากที่ดินที่เขากำเนิดมานั้น ดังนั้นพระองค์ทรงไล่มนุษย์ออกไป ทรงตั้งพวกเครูบไว้ทางทิศตะวันออกของสวนเอเดน และตั้งดาบเพลิงซึ่งหมุนได้รอบทิศทาง เพื่อป้องกันทางเข้าไปสู่ต้นไม้แห่งชีวิต (ปฐมกาล3:23-24)<br /><br /><b>ความบาปทำให้สิ่งต่างๆในโลกนี้อยู่ในกฎของเสื่อมพลังงาน ชีวิตมนุษย์ถูกจำกัดไม่เกิน 120 ปี</b><br />เหตุฉะนั้นเช่นเดียวกับที่บาปได้เข้ามาในโลกเพราะคนๆเดียว และความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป (โรม5:12) <br /><br />เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานของพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา (โรม6:23)<br /><br />พระเยโฮวาห์ตรัสว่า "วิญญาณของเราจะไม่วิงวอนกับมนุษย์ตลอดไป เพราะเขาเป็นแต่เนื้อหนัง อายุของเขาจะเพียงแค่ร้อยยี่สิบปี" (ปฐมกาล6:3)<br /><br />พระองค์ตรัสแก่อาดัมว่า "เพราะเหตุเจ้าได้ฟังเสียงของภรรยาเจ้า และได้กินผลจากต้นไม้ ซึ่งเราได้สั่งเจ้าว่า เจ้าอย่ากินผลจากต้นนั้น แผ่นดินจึงต้องถูกสาปแช่งเพราะตัวเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินนั้นด้วยความทุกข์ยากตลอดวันเวลาในชีวิตของเจ้า"<br />(ปฐมกาล3:17)<br /><br />เมื่อโนอาห์มีชีวิตอยู่ได้หกร้อยปี ในเดือนที่สอง วันที่สิบเจ็ดของเดือนนั้น ในวันเดียวกันนั้นเอง น้ำพุทั้งหลายที่อยู่ที่ลึกใต้บาดาลก็พลุ่งขึ้นมา และช่องฟ้าก็เปิดออก (ปฐมกาล7:11)<br />ฉะนั้นคนในสมัยก่อนมีอายุยืนมาก ตั้งแต่พระเจ้าเปิดช่องฟ้าออก และน้ำพุที่อยู่ลึกพลุ่งขึ้นมา ทำให้โลกเริ่มร้อนขึ้น มนุษย์เริ่มแก่ไวขึ้น อายุของมนุษย์จึงสั้นลง<br /><br /><b>แต่พระเจ้าทรงรักมนุษย์และทำเสื้อหนังสัตว์ให้แก่อาดัม-เอวา</b><br />พระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงทำเสื้อคลุมด้วยหนังสัตว์แก่อาดัมและภรรยาและสวมใส่ให้เขาทั้งสอง (ปฐมกาล3:21) ท่านทราบไหมว่า เสื้อหนังสัตว์นั้นเล็งถึง พระเยซูคริสต์ที่จะต้องตายเพื่อมนุษย์ทุกคน ฉะนั้นสิ่งที่อาดัมและเอวาทำเพื่อปกปิดร่างกายของตนจากใบมะเดื่อนั้น ไม่มั่นคง เพราะใบไม้นั้นเหี่ยวและแห้งไป เปรียบถึงความดีของมนุษย์ที่ทำขึ้นนั้นไม่มั่นคง เพราะทำบุญแล้วก็กลับไปทำบาปอีก<br /><img src="http://thai.landmarkbiblebaptist.net/Pic/gift.jpg" height=95 width=106alt=> <br /><b>มีหนทางใดบ้าง ที่จะช่วยมนุษย์ได้กลับคืนดีกับพระเจ้า และได้มีชีวิตนิรันดร์</b><br />เพราะว่าพระ เจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมา เพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ (ยอห์น3:16)<br />เพราะพระเจ้ารู้ว่ามนุษย์ มนุษย์ทุกคนทำบาป ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ พระเจ้าทรงมีแผนการที่ดี เพราะพระองค์รู้ว่า ถ้าอาดัมและเอวาเลือกที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า และผลของความบาปของมนุษย์คือความตาย พระองคจึงได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์คือพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดให้กับมนุษย์ทุกคนในโลก โดยยอมตายบนไม้กางเขน เพื่อรับโทษบาปของมนุษย์ทุกคน <br />พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา (ยอห์น 14:6)<br /><br />แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เราเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นบาปแล้ว พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญา โดยความเชื่อในพระโลหิตของพระองค์ เพื่อสำแดงให้เห็นความชอบธรรมของพระองค์ในการที่พระเจ้าได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น (โรม3:24)<br /><br />แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา บัดนี้เราจึงเป็นคนชอบธรรมแล้วโดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งกว่านั้น เราจะพ้นจากพระพิโรธโดยพระองค์ เพราะว่าถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรู เราได้กลับคืนดีกับพระเจ้าโดยที่พระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์ ยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อเรากลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอดโดยพระชนม์ชีพของพระองค์แน่ มิใช่เพียงเท่านั้น แต่เราทั้งหลายยังชื่นชมยินดีในพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็น เจ้าของเรา เพราะโดยพระองค์นั้นเดี๋ยวนี้เราจึงได้กลับคืนดีกับพระเจ้า (โรม 5:8-11) <br /><br /><b>ต้อนรับพระเยซูคริสต์อย่างไร</b><br /> คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจของท่านว่าพระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด ด้วยว่าความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด (โรม 10:9-10) <br /><br /><b>ถ้าท่านอยากต้อนรับพระเยซูคริสต์ อธิษฐานตามดังต่อไปนี้</b><br />“ข้าแต่พระบิดาเจ้า ข้าพเจ้าเป็นคนบาป ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ขอขอบคุณองค์พระเยซูคริสต์ที่ได้ตายแทนความบาปของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเชื่อว่า พระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ข้าพเจ้าขอติดตามพระองค์ไปตลอดชีวิตของข้าพเจ้า อธิษฐานในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน” <br /><br /><b>ท่านได้เข้าสู่ครอบครัวของพระเจ้าแล้ว</b><br />เหตุฉะนั้นเมื่อเราเป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่โดยความเชื่อ และเราชื่นชมยินดีในความหวังใจว่าจะได้มีส่วนในสง่าราศีของพระเจ้า (โรม5:1-2)<br /><br />ด้วยว่าพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงนำพาคนหนึ่งคนใด คนเหล่านั้นก็เป็นบุตรของพระเจ้า เหตุว่าท่านไม่ได้รับนิสัยอย่างทาสซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทรงให้เป็นบุตรซึ่งให้เราทั้งหลายร้องเรียกพระ เจ้าว่า "อับบา" คือพระบิดา พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับจิตวิญญาณของเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า และถ้าเราทั้งหลายเป็นบุตรแล้ว เราก็เป็นผู้รับมรดกคือเป็นผู้รับมรดกของพระเจ้า และเป็นผู้รับมรดกร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเราทั้งหลายทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์นั้น ก็เพื่อเราทั้งหลายจะได้สง่าราศีด้วยกันกับพระองค์ด้วย (โรม8:14-17)<br /><br /><b>เมื่อท่านได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้วท่านควรร่วมประชุมที่โบสถ์ทุกวันอาทิตย์</b><br />ซึ่งเราเคยประชุมกันนั้นอย่าให้หยุด เหมือนอย่างบางคนเคยกระทำนั้น แต่จงเตือนสติกันและกัน และให้มากยิ่งขึ้นเมื่อท่านทั้งหลายเห็นวันเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว ( ฮีบรู10:25)<br /><img src="http://thai.landmarkbiblebaptist.net/Pic/readBible.gif" height=95 width=106alt=><br /><b>ผู้เชื่อเป็นบุตรของพระเจ้า</b> (1ยน.3:1-10)<br />จงดูเถิด พระบิดาทรงโปรดประทานความรักแก่เราทั้งหลายเพียงไร ที่เราจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า เหตุที่โลกไม่รู้จักเราทั้งหลาย ก็เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์ ท่านที่รักทั้งหลาย บัดนี้เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า และยังไม่ปรากฏว่าต่อไปเบื้องหน้าเราจะเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าเมื่อพระองค์เสด็จมาปรากฏนั้น เราทั้งหลายจะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะว่าเราจะเห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น และทุกคนที่มีความหวังเช่นนี้ในพระองค์ ก็ย่อมชำระตนให้บริสุทธิ์เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์ ผู้ใดที่กระทำบาปก็ละเมิดพระราชบัญญัติด้วย เพราะความบาปเป็นสิ่งที่ละเมิดพระราชบัญญัติ<br />ท่านทั้งหลายก็รู้อยู่แล้วว่า พระองค์ได้ทรงปรากฏเพื่อนำบาปทั้งหลายของเราไปเสีย และบาปในพระองค์ไม่มีเลย<br /><br /><b>จงระวัง "มนุษย์เก่า" ที่ยังคงทำบาปอยู่</b><br />คนใดที่อาศัยอยู่ในพระองค์ คนนั้นไม่กระทำบาป ผู้ใดที่กระทำบาป ผู้นั้นยังไม่ได้เห็นพระองค์ และยังไม่ได้รู้จักพระองค์<br /> ลูกเล็กๆทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้ใครชักจูงท่านให้หลง ผู้ที่ประพฤติการชอบธรรมก็เป็นผู้ชอบธรรม เหมือนอย่างพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม ผู้ที่กระทำบาปก็มาจากพญามาร เพราะว่าพญามารได้กระทำบาปตั้งแต่เริ่มแรก พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏก็เพราะเหตุนี้ คือเพื่อทรงทำลายกิจการของพญามารเสีย ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้า ผู้นั้นไม่กระทำบาป เพราะเมล็ดของพระองค์ดำรงอยู่ในผู้นั้น และเขากระทำบาปไม่ได้ เพราะเขาบังเกิดจากพระเจ้า ดังนี้แหละจึงเห็นได้ว่าผู้ใดเป็นบุตรของพระเจ้า และผู้ใดเป็นลูกของพญามาร คือว่าผู้ใดที่มิได้ประพฤติตามความชอบธรรม และไม่รักพี่น้องของตน ผู้นั้นก็มิได้มาจากพระเจ้า<br /> ขอพระเจ้าทรงอวยพรแก่ท่านผู้อ่านทุกท่าน</big>JohnBaptistHenryhttp://www.blogger.com/profile/02868801750545362821noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6362001047782108830.post-83651264652299195702011-01-12T02:27:00.000-08:002015-09-02T21:27:19.289-07:00<center><b><big><big><big><big>ความจริง 39 อย่าง<br />เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่บันทึกในพระคัมภีร์</big><br />เกี่ยวกับ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ ชีววิทยา <br />การแพทย์และสาธารณสุข พันธุศาสตร์</big></big></big></b><br /> <br /><img src="http://thai.landmarkbiblebaptist.net/Pic/11images.jpg" height=250width=280alt="THAI TRIBE GIRL"></center><br /><big>แปลโดยคริสตจักรพระวาทะแบ๊พติสท์หนองคาย<br /><b>ความจริง 10 อย่างเกี่ยวกับ ดาราศาสตร์ </b><br />1. พระคัมภีร์บอกว่าแผ่นดิน โลกลอยอยู่ในอวกาศ แต่ ศาสนาบางศาสนากล่าวว่าโลกอยู่ บนหลังช้างหรือเต่า, หรือแอทลัส แบกอยู่ (Atlas) <br /> โยบ 26:7 : "พระองค์ทรงคลี่ทางเหนือ ออกคลุมที่เวิ้งว้าง และแขวนโลกไว้เหนือที่ว่างเปล่า"<br /><br />2. พระคัมภีร์บอกเราว่าโลกเป็นวงกลม แต่ สมัยโบราณหลายคนคิดว่าโลกแบน <br />อิสยาห์ 40:22 : "คือพระองค์ผู้ประทับเหนือปริมณฑลของแผ่นดินโลก และชาวแผ่นดินโลกก็เหมือนอย่างตั๊กแตน ผู้ทรงขึงฟ้าสวรรค์เหมือนขึงม่าน และกางออกเหมือนเต็นท์ที่อาศัย" (ปริมณฑลแปลว่าวงกลม )<br /><br />3. พระคัมภีร์คาดล่วงหน้าว่า แผ่นดินโลกที่วงกลมกำลังหมุนอยู่ เพราะว่า พระเยซูกล่าวว่าเมื่อพระองค์จะกลับมาบางแห่งจะเป็นเวลากลางคืน บางแห่งจะเป็นเวลากลางวัน ลูกา 17:34-36 : "เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในคืนวันนั้นจะมีชายสองคนนอนในที่นอนอันเดียวกัน จะทรงรับคนหนึ่ง จะทรงละคนหนึ่ง ผู้หญิงสองคนจะโม่แป้งด้วยกัน จะทรงรับคนหนึ่ง จะทรงละคนหนึ่ง ชายสองคนจะอยู่ในทุ่งนา จะทรงรับคนหนึ่ง จะทรงละคนหนึ่ง"<br /><br />4. พระคัมภีร์บอกว่ามีมืดภายนอกตลอดกาล มีหลุมดำจริง นักจักรวาลวิทยารู้ว่ามีหลุมดำในอวกาศและสมมุติฐานว่า มีสสารดำและพลังดำประกอบในจักรวาลนี้เยอะ สนามโน้มถ่วงของหลุมดำแข็งแรงมากมาก กำลังดูดทุกอย่างเข้าไปข้างใน และไม่มีอะไรออกได้แม้กระทั่งแสงหลุดออกจากหลุมดำไม่ได้ <br /><img src="http://thai.landmarkbiblebaptist.net/Pic/1%20images.jpg" height=150 width=180alt=><br /><br />มัทธิว 25:30 : "จงเอาเจ้าผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์นี้ไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ซึ่งที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน"<br />ยูดาห์ 13 : "เป็นคลื่นที่บ้าคลั่งในมหาสมุทร ที่ซัดฟองของความบัดสีของตนเองขึ้นมา เขาเป็นดาวที่ลอยลับไป เป็นผู้ที่ตกอยู่ในความมืดทึบตลอดกาล" <br /><br />5. จำนวนของดวงดาวไม่สามารถที่จะนับได้ สมัยโบราณ เมื่อมองเห็นดาว ที่น้อยกว่า 5,000ดวง พระเจ้ากล่าวว่า “บริวารของฟ้าสวรรค์จะนับไม่ได้” ต่อมาประมาณ 2,000ปี ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 กาลิเลโอ ใช้กล้องจุลทรรศน์ใหม่ของเขา ส่องดูดาวมากมาย วันนี้นักดาราศาสตร์ประมาณว่ามีดาวจำนวน 1 ตามด้วย 25 ศูนย์ ( ten thousand billion trillion )<br />เยเรมีย์ 33:22 : "บริวารของฟ้าสวรรค์จะนับไม่ได้ และเม็ดทรายที่ทะเลก็ตวงไม่ได้ฉันใด เราก็จะให้เชื้อสายของดาวิดผู้รับใช้ของเราและคนเลวีผู้ปรนนิบัติของเราทวีมากขึ้นฉันนั้น"<br /><br />6. จำนวนดาว, มากมาย แต่มีจำกัด แม้ว่ามนุษย์จะไม่สามารถคำนวณตัวเลขที่แน่นอนของดาวแต่เดี๋ยวนี้เรารู้ว่า ดาวมีจำกัด <br />อิสยาห์ 40:26 : "จงแหงนหน้าขึ้นดูว่า ผู้ใดสร้างสิ่งเหล่านี้ พระองค์ผู้ทรงนำบริวารออกมาตามจำนวน เรียกชื่อมันทั้งหมดโดยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ และเพราะพระองค์ทรงฤทธิ์เข้มแข็งจึงไม่ขาดไปสักดวงเดียว"<br /> <br />7. พระคัมภีร์เปรียบเทียบจำนวนของดวงดาวที่มีจำนวนเม็ดทรายบนชายฝั่งทะเล คาดการว่าจำนวนเม็ดทรายเท่ากับดวงดาวในจักรวาล <br />ปฐมกาล 22:17 : "เราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองศัตรูของเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์" (ดูฮีบรู 11:12 ด้วย )<br /><br />8. จักรวาลกำลังขยายตัว พระเจ้ากล่าวหลายครั้งว่าพระองค์ทรงขึงท้องฟ้าออก ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นักวิทยาศาสตร์ส่วนมาก รวมถึง ( เอาด์เบิด ไอสตายน์ ด้วย ) เชื่อว่าจักรวาลคงที่ แต่ว่าบางคน เชื่อว่าจักรวาลกำลังยุบลง เนื่องจากแรงโน้มถ่วง จากนั้นในปี 1929, นักดาราศาสตร์( เอดเวน ฮับเบิล) พบว่ากาแลคซี่กำลังถอยออกห่างจากโลก และ เมื่อกาแลคซี่ยิ่งออกห่างจากโลกก็ยิ่งเร็วขึ้น การค้นพบนี้ปฏิวัติวงการดาราศาสตร์ ไอสตายน์ ยอมรับความผิดของเขาและวันนี้นักดาราศาสตร์ส่วนมากเห็นด้วยกับสิ่งที่พระผู้สร้างบอกเรานับพันปีมาแล้ว คือ จักรวาลกำลังขยาย! <br />อิสยาห์ 42:5 : "พระเจ้า คือ พระเยโฮวาห์ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และทรงขึงมัน ผู้ทรงแผ่แผ่นดินโลกและสิ่งที่บังเกิดจากโลกออกไป ผู้ทรงประทานลมหายใจแก่ประชาชนที่บนโลก และจิตวิญญาณแก่ผู้ดำเนินอยู่บนโลก ตรัสดังนี้ว่า"<br />เยเรมีย์ 51:15 : "พระองค์ทรงสร้างโลกด้วยฤทธิ์เดชของพระองค์ พระองค์ทรงสถาปนาพิภพไว้ด้วยพระสติปัญญาของพระองค์ และทรงคลี่ท้องฟ้าออกด้วยความเข้าใจของพระองค์"<br />เศคารียาห์ 12:01 : "ภาระแห่งพระวจนะของพระเยโฮวาห์เกี่ยวด้วยเรื่องอิสราเอล พระเยโฮวาห์ผู้ทรงขึงท้องฟ้าออก และวางรากพิภพ และปั้นจิตวิญญาณให้มีอยู่ในมนุษย์ ตรัสว่า"<br /><br />9. ดาวแต่ละดวงไม่ซ้ำกัน ศตวรรษก่อนการถือกำเนิดของกล้องจุลทรรศน์ที่พระคัมภีร์กล่าวว่าเฉพาะพระเจ้าและฑูตสวรรค์รู้ว่า ดวง ดาวแต่ละดวงแตกต่างกันในขนาดและความเข้ม! <br />1 โครินธ์ 15:41 : "สง่าราศีของดวงอาทิตย์ก็อย่างหนึ่ง สง่าราศีของดวงจันทร์ก็อย่างหนึ่ง สง่าราศีของดวงดาวก็อย่างหนึ่ง แท้ที่จริงสง่าราศีของดาวดวงหนึ่งก็ต่างกันกับสง่าราศีของดาวดวงอื่นๆ"<br /><br />10. ดวงอาทิตย์โคจรรอบนอกของกาแลคซี่ของเรา ไปในวงจร เมื่อก่อนนักวิทยาศาสตร์บางคนเยาะเย้ย สดุดี 19:6 เพราะเขาคิดว่า ข้อนี้สอนว่าดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก (geocentric) พวกเขายืนยันว่าโลกอยู่กับที่ แต่ตอนนี้ เรารู้ว่าดวงอาทิตย์กำลังวิ่งเดินทางผ่านอวกาศประมาณ 600,000 ไมล์ต่อชั่วโมง ดวงอาทิตย์ เคลื่อนที่ในโคจรใหญ่มาก -- เช่นเดียวกับพระคัมภีร์ระบุ 3,000 ปีมาแล้ว! <br />สดุดี 19:6 : "ดวงอาทิตย์ขึ้นมาจากสุดปลายฟ้าสวรรค์ข้างหนึ่ง และโคจรไปถึงที่สุดปลายอีกข้างหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดสามารถซ่อนให้พ้นจากความร้อนของมันได้"<br /><img src="http://thai.landmarkbiblebaptist.net/Pic/11_original.jpg" height=150 width=180alt=><br /><br /><b>ความจริง 6 อย่างเกี่ยวกับ ฟิสิกส์</b><br />1. ธรรมชาติประกอบด้วยอะตอมและอนุภาค ที่ตาของเรามองไม่เห็น ( indiscernible) ในศตวรรษที่ 19 ที่จะพบว่าทุกเรื่องที่มองเห็นประกอบด้วยองค์ประกอบที่มองไม่เห็น <br /><br />ฮีบรู 11:03 : "โดยความเชื่อนี้เอง เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น"<br /><br />2. แสงสามารถแยกได้ เซอร์ไอแซค นิวตัน ศึกษาแสงและพบว่าแสงสีขาวทำจากเจ็ดสีซึ่งสามารถ แยกได้ และกลับมารวมกันอีกได้ วิทยาศาสตร์ยืนยันความจริงนี้สี่ศตวรรษมาแล้ว แต่ พระเจ้าประกาศเรื่องนี้สี่พันปีมาแล้ว! <br /><br />โยบ 38:24 : "ทางที่จะไปสู่ที่ซึ่งความสว่างแจกจ่ายออกไปนั้นอยู่ที่ไหน หรือที่ซึ่งลมตะวันออกกระจายไปบนแผ่นดินโลกอยู่ที่ไหน" <br /><br />3. แสงเดินทางในเส้นทาง ในโยบ 38:19 ใช้คำว่า “เส้นทาง” ซึ่งในภาษาฮีบรู เป็นคำว่า “ดีเรค” ซึ่งแปลตามตัวอักษรว่า “เส้นทางเดินทาง” เซอร์ไอแซค นิวตันคาดว่าแสงเป็นอนุภาคที่เดินเป็นเส้นทางตรง เดี๋ยวนี้นักวิทยาศาตร์รู้ว่าแสงเป็นคลื่นที่เกิดด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งวิ่งด้วยความเร็ว 186,000 ไมล์ต่อวินาทีในเส้นทางตรง<br /> <br />โยบ 38:19 : "ทางที่จะนำไปสู่สำนักของความสว่างอยู่ที่ไหน และส่วนที่มืด สถานที่นั้นอยู่ที่ไหน"<br /><br />4. พระคัมภีร์กล่าวว่าแสงสามารถส่งไปแล้วปรากฏเป็นคำพูด ขณะนี้เรารู้ว่าคลื่นวิทยุและคลื่นแสงเป็นสองรูปแบบของสิ่งเดียวกัน คือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ดังนั้นคลื่นวิทยุเป็นรูปของแสงชนิดหนึ่ง วันนี้โดยเครื่องส่งสัญญาณวิทยุเราสามารถส่งคำพูดโดยทางฟ้าแลบได้ <br /><br />โยบ 38:35 : "เจ้าใช้ฟ้าแลบออกไปเพื่อให้มันไปและพูดกับเจ้าว่า ‘เราอยู่ที่นี่’ ได้ไหม"<br /><img src="http://thai.landmarkbiblebaptist.net/Pic/1_original.jpg" height=150 width=180alt=><br /><br />5. อุณหพลศาสตร์ที่จัดตั้งขึ้น (เทอโมไดนามิกส์) กฎนี้ระบุว่าปริมาณรวมของพลังงานและสสารในจักรวาลมีค่าคงที่ รูปแบบหนึ่งของพลังงานหรือไม่ว่าอาจจะเปลี่ยนเป็นอื่น แต่ปริมาณรวมยังคงเหมือนเดิมเสมอ ดังนั้นการสร้างเสร็จสิ้นตรงตามที่พระเจ้ากล่าวไว้ในปฐมกาล <br /><br />ปฐมกาล 2:1-2 : "ดังนี้ฟ้าและแผ่นดินโลกและบรรดาบริวารก็ถูกสร้างขึ้นให้สำเร็จ ในวันที่เจ็ดพระเจ้าก็เสร็จงานของพระองค์ซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างมาแล้วนั้น และในวันที่เจ็ดพระองค์ทรงพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์ซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างมาแล้วนั้น"<br /><br />6. กฎที่สองของอุณหพลศาสตร์ (หรือเอนโทรฟี หรือ เรียกว่าการเสื่อมพลังงานก็ได้ ) เอนโทรฟีเป็นกฎที่บอกว่าทุกอย่างในจักรวาลกำลังเสื่อมลง เรื่อยๆ จากการเป็นระเบียบจนถึงไม่เป็นระเบียบ เอนโทรฟี (หรือการเสื่อม) เข้ามาเมื่อมนุษย์สองคนแรกไม่เชื่อฟังพระเจ้า และเป็นผลของการสาปแช่งของพระเจ้า (ปฐมกาล 3:17-19, โรม 8:20-22) เมื่อก่อนคนส่วนใหญ่เชื่อว่าจักรวาลไม่เปลี่ยนแปลง แต่ วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยืนยันว่าจักรวาลกำลังเสื่อม พระเจ้าตรัสว่า “ สิ่งเหล่านี้จะพินาศไป แต่พระองค์ทรงดำรงอยู่ สิ่งเหล่านี้จะเก่าไปเหมือนเครื่องนุ่งห่ม” (ฮีบรู 1:11) กฎที่สองแห่งอุณหพลศาสตร์เป็นกฎวิทยาศาสตร์ที่ทดลองมากที่สุด วิวัฒนาการทางธรรมชาติปฎิเสธความจริงกฎที่สองแห่งอุณหพลศาสตร์ เพราะว่าวิวัฒนาการทางธรรมชาติจำเป็นต้องพัฒนาขึ้นไม่ใช่เสื่อมลง <br /><br />สดุดี 102:25-26 : "เมื่อเดิมพระองค์ทรงวางรากฐานของแผ่นดินโลก และฟ้าสวรรค์เป็นพระหัตถกิจของพระองค์ สิ่งเหล่านี้จะพินาศไป แต่พระองค์จะทรงดำรงอยู่ บรรดาสิ่งเหล่านี้จะเก่าไปเหมือนเครื่องนุ่งห่ม พระองค์จะทรงเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ไว้ดุจเสื้อคลุม และสิ่งเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนแปลงไป"<br /><br />โรม 8:20-22 : "เพราะว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นต้องเข้าอยู่ในอำนาจของอนิจจัง ไม่ใช่ตามใจชอบของตนเอง แต่เป็นไปตามพระองค์ผู้ทรงบันดาลให้เข้าอยู่นั้นด้วยมีความหวังใจว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นจะได้รอดจากอำนาจแห่งความเปื่อยเน่า และจะเข้าในเสรีภาพซึ่งมีสง่าราศีแห่งบุตรทั้งหลายของพระเจ้าด้วย เรารู้อยู่ว่า บรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้น กำลังคร่ำครวญและผจญความทุกข์ลำบากเจ็บปวดด้วยกันมาจนทุกวันนี้"<br /><br /><img src="http://thai.landmarkbiblebaptist.net/Pic/%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%A5%E0%B9%8C8991.jpg" height=150 width=180alt=><br /><br /><b>ความจริง 8 อย่างเกี่ยวกับ ชีววิทยา</b><br />1. การอธิบายกฎแห่งเริ่มต้นชีวิต (ไบโอเจนิซิส) นักวิทยาศาสตร์สังเกตว่าสิ่งที่มีชีวิตมาจากสิ่งที่มีชีวิตอยู่แล้วเท่านั้น กฎนี้ไม่เคยละเมิดภายใต้การสังเกตหรือการทดลอง (ซึ่งจำเป็นในวิวัฒนาการทางธรรมชาติ) ดังนั้นชีวิตทั้งสิ้นมาจากพระเจ้า <br /><br />ปฐม กาล 1:11, 20, 24 : "พระเจ้าตรัสว่า จงให้แผ่นดินเกิดต้นหญ้า ต้นผักที่มีเมล็ด และต้นไม้ที่ออกผลที่มีเมล็ดในผลตามชนิดของมันบนแผ่นดิน ก็เป็นดังนั้น ... พระเจ้าตรัสว่า จงให้น้ำอุดมบริบูรณ์ไปด้วยสัตว์ที่มีชีวิตแหวกว่ายไปมา และให้มีนกบินไปมาบนพื้นฟ้าอากาศเหนือแผ่นดินโลก ...พระเจ้าตรัสว่า จงให้แผ่นดินโลกเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่าบนแผ่นดินโลกตามชนิดของมัน ก็เป็นดังนั้น "<br /><br />ปฐมกาล 2:7 : "พระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ทรงระบายลมปราณแห่งชีวิตเข้าทางจมูกของเขา และมนุษย์จึงเกิดเป็นจิตวิญญาณมีชีวิตอยู่"<br /><br /> 2. โลกถูกออกแบบสำหรับชีวิตทางชีวภาพ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่าลักษณะพื้นฐานส่วนใหญ่ของโลกและจักรวาลของเรา ถ้าปรับบางอย่างนิดเดียว สิ่งที่มีชีวิตจะไม่สามารถอยู่ได้ หลักการนี้ เรียกว่า แอนโทรฟิค เพรนซิเพอล์ หลักการ (Anthropic Principal *) และเห็นด้วยกับพระคัมภีร์ที่ว่า ” พระองค์ทรงปั้นมัน [โลก] ไว้ให้มีการอาศัย” (* หลักการ Anthropic Principle ทางฟิสิกส์และ จักรวาลวิทยา, เป็นชื่อรวมสำหรับหลายวิธีในการยืนยันว่าข้อสังเกตของจักรวาลทางกายภาพต้องเข้ากันได้กับชีวิตที่สังเกตอยู่ในนั้น) <br /><br />อิสยาห์ 45:18 : "เพราะพระเยโฮวาห์ ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ พระเจ้าเองทรงปั้นแผ่นดินโลกและทำมันไว้ พระองค์ทรงสถาปนามันไว้ พระองค์มิได้ทรงสร้างมันไว้ให้ยุ่งเหยิง พระองค์ทรงปั้นมันไว้ให้มีการอาศัย ตรัสดังนี้ว่า เราคือพระเยโฮวาห์ และไม่มีอื่นใดอีก"<br /> <br />3. พระเจ้าให้น้ำในการดำรงชีวิต ในปริมาณที่เหมาะสม ขณะนี้เรารู้ว่าถ้ามีน้ำมากเกินหรือน้อยเกินไปพอสมควร แผ่นดินโลกจะผดุงรักษาชีวิตไม่ได้<br /><br />อิสยาห์ 40:12 : "ผู้ใดได้เคยตวงน้ำทั้งสิ้นด้วยอุ้งมือของตน และวัดฟ้าสวรรค์ด้วยคืบเดียว บรรจุผงคลีของแผ่นดินโลกไว้ในถังเดียว และชั่งภูเขาในตาชั่งและชั่งเนินด้วยตราชู"<br /><br />4. ร่างกายมนุษย์ทำจากผงคลีดิน นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่าร่างกายมนุษย์ประกอบด้วย 28ธาตุ และทั้ง28ธาตุนั้นพบในผงคลีดิน <br /><br />ปฐมกาล 2:7 : "พระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ทรงระบายลมปราณแห่งชีวิตเข้าทางจมูกของเขา และมนุษย์จึงเกิดเป็นจิตวิญญาณมีชีวิตอยู่"<br /><br />ปฐมกาล 3:19 : "เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่อไหลโซมหน้าจนกว่าเจ้ากลับไปเป็นดิน เพราะเจ้ามาจากดิน เจ้าเป็นผงคลีดิน และเจ้าจะกลับไปเป็นผงคลีดิน"<br /><br />5. ชีวิตเริ่มต้นที่การปฏิสนธิ พระเจ้าประกาศว่าพระองค์ทรงรู้จักเราก่อนที่เราจะเกิด พระคัมภีร์สอนว่าการฆาตกรรมมีโทษถึงตาย แม้แต่เด็กอยู่ในท้อง (อพยพ 21:22-23) เดี๋ยวนี้เรารู้ว่ามันเป็นความจริงตามชีววิทยา ที่ไข่ปฏิสนธิเป็นมนุษย์จริงๆแล้ว ไม่มีอะไรจะถูกเพิ่มอยู่ในเซลล์แรกยกเว้นอาหารและออกซิเจน <br /><br />สดุดี 139:15 : "เมื่อข้าพระองค์ถูกสร้างอยู่ในที่ลับลี้ ประดิษฐ์ขึ้นมา ณ ภายในที่ลึกแห่งโลก โครงร่างของข้าพระองค์ไม่ปิดบังไว้จากพระองค์"<br /><br />เยเรมีย์ 1:5 : "เราได้รู้จักเจ้าก่อนที่เราได้ก่อร่างตัวเจ้าที่ในครรภ์ และก่อนที่เจ้าคลอดจากครรภ์ เราก็ได้กำหนดตัวเจ้าไว้ เราได้แต่งตั้งเจ้าเป็นผู้พยากรณ์ให้แก่บรรดาประชาชาติ"<br /><img src="http://thai.landmarkbiblebaptist.net/Pic/transcription_animate.gif" height=150 width=180alt=><br /><br />6. พระเจ้าทรงปั้นเราในครรภ์มารดา วิทยาศาสตร์ไม่รู้เกี่ยวกับการพัฒนาตัวอ่อน จนกระทั่งสมัยนี้ แต่ว่าสี่พันปีมาแล้ว พระคัมภีร์อธิบาย พระเจ้าสร้างเราสามัคคีซับซ้อนในมดลูก <br /><br />โยบ 10:8-12 : "พระหัตถ์ของพระองค์ปั้นและทรงสร้างข้าพระองค์ ถึงกระนั้นพระองค์ทรงหันมาทำลายข้าพระองค์ ขอทรงระลึกว่าพระองค์ทรงสร้างข้าพระองค์ดุจดังดินเหนียว พระองค์จะทรงนำข้าพระองค์ให้กลับเป็นผงคลีดินอีกหรือ พระองค์มิได้ทรงเทข้าพระองค์ออกอย่างน้ำนม และทำข้าพระองค์ให้แข็งเหมือนเนยแข็งหรือ พระองค์ทรงห่มข้าพระองค์ไว้ด้วยหนังและเนื้อ และทรงสานข้าพระองค์ด้วยกระดูกและเส้นเอ็น พระองค์ทรงประสาทชีวิตและความเมตตาแก่ข้าพระองค์ และความดูแลรักษาของพระองค์ได้สงวนจิตวิญญาณข้าพระองค์ไว้"<br /><br />สดุดี 139:16 : "พระเนตรของพระองค์ทรงเห็นส่วนประกอบของข้าพระองค์ในเมื่อยังไม่สมบูรณ์ ในวันทั้งหลายที่กำลังประกอบขึ้น เมื่อครั้งไม่เกิดขึ้น อวัยวะทั้งหลายของข้าพระองค์ก็ทรงจารึกไว้ในพระตำรับของพระองค์"<br /><br />7. เมล็ดพืชมีชีวิตในตัวเอง ตามที่ระบุไว้ในหนังสือปฐมกาล เรายอมรับว่าเมล็ดพืชมีชีวิตในตัวเอง ภายในเมล็ดเป็นโรงงานเล็ก ๆ ของความซับซ้อนน่าอัศจรรย์ นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถสร้างเมล็ดสังเคราะห์ได้และเมล็ดทุกเมล็ดละเอียดซับซ้อน<br /><br />ปฐมกาล 1:11-12 : "พระเจ้าตรัสว่า “จงให้แผ่นดินเกิดต้นหญ้า ต้นผักที่มีเมล็ด และต้นไม้ที่ออกผลที่มีเมล็ดในผลตามชนิดของมันบนแผ่นดิน ก็เป็นดังนั้น แผ่นดินก็เกิดต้นหญ้า ต้นผักที่มีเมล็ดตามชนิดของมัน และต้นไม้ที่ออกผลที่มีเมล็ดในผลตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี”<br /><br />8. เมล็ดจะต้องตายเพื่อผลิตชีวิตใหม่ ใน ยอห์น12:24 คือการยืนยันที่โดดเด่นของสองแนวคิดพื้นฐานทางชีววิทยา 1) เซลล์เกิดขึ้นจากเซลล์ที่มีอยู่เท่านั้น 2) เมล็ดจะต้องตายเพื่อผลิตเมล็ดมากขึ้น เมล็ดที่ตกลงไปมีเปลือกซึ่งประกอบด้วยเซลล์ที่สนับสนุนภายใน และให้ชีวิตของพวกมัน เพื่อบำรุงเลี้ยงเมล็ดภายใน เมื่อปลูกแล้วเมล็ดภายในงอกขึ้น และส่งผลให้เกิดผลมาก <br /><br />ยอห์น 12:24 : "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก"<br /> <br />1 โครินธ์ 15:36-38 : "ท่านคนเขลา เมล็ดที่ท่านหว่านลงนั้น ถ้าไม่ตายเสียก่อนแล้วจะงอกขึ้นใหม่ไม่ได้ เมล็ดข้าวที่ท่านหว่านนั้น จะเป็นข้าวสาลีหรือพืชอื่นๆก็ดี ท่านมิได้หว่านสิ่งที่เป็นรูปร่างของต้นที่จะงอกขึ้นมา แต่ได้หว่านเมล็ดเท่านั้น แต่พระเจ้าทรงประทานรูปร่างต้นของเมล็ดนั้นตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบ และทรงประทานรูปร่างแก่เมล็ดพืชทุกพรรณตามชนิดของมัน"<br /><br /><b>ความจริง 10 อย่างเกี่ยวกับ การแพทย์และสาธารณสุข</b> <br />1. เลือดเป็นแหล่งของชีวิตและสุขภาพ กว่าร้อยปีที่ผ่านมาคนป่วย "ตั้งใจปล่อยเลือดไหล"เพราะคิดว่าจะช่วยเขาดีขึ้น แต่มีคนเสียชีวิตจำนวนมากเพราะเขาปล่อยเลือดมากเกินไป (อย่างเช่น จอร์ช วอชิงตัน) ทุกๆวันนี้เรารู้ว่าจำเป็นต้องมีเลือดที่ดี เพื่อนำสารอาหารถึงเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย พระเจ้าประกาศว่า "ชีวิตของเนื้อหนังอยู่ในเลือด" ประมาณ 3,000ปี ก่อนวิทยาศาสตร์รู้เรื่องนี้ พระเจ้าให้โมเสสบันทึกไว้ในพระคัมภีร์<br /><br />เลวีนิติ 17:11, 14 : "เพราะว่าชีวิตของเนื้อหนังอยู่ในเลือด เราได้ให้เลือดแก่เจ้าเพื่อใช้บนแท่น เพื่อกระทำการลบมลทินบาปแห่งจิตวิญญาณของเจ้า เพราะว่าเลือดเป็นที่ทำการลบมลทินบาปแห่งจิตวิญญาณ เพราะว่าชีวิตของเนื้อหนังทั้งปวงอยู่ในเลือด เลือดของสิ่งใดก็คือชีวิตของสิ่งนั้นเอง เพราะฉะนั้นเราจึงได้กล่าวแก่ลูกหลานอิสราเอลว่า เจ้าอย่ารับประทานเลือดของเนื้อหนังใดๆเลย เพราะว่าชีวิตของเนื้อหนังทั้งปวงคือเลือดนั่นเอง ผู้ใดก็ตามรับประทานเลือดนั้นก็ต้องถูกตัดขาดเสีย"<br /><br />2. เลือดไม่ควรบริโภค ในสมัยโบราณหลายศาสนามีพิธีดื่มเลือด แต่พระผู้สร้างบอกประชาชนของพระองค์หลายครั้งให้ละเว้นกินเลือด (ปฐมกาล 9:4; เลวีนิติ 3:17; กิจการ 15:20; 21:25) หลักสูตรวิทยาศาสตร์สมัยใหม่พบว่าเลือดดิบกินเป็นอันตราย <br /><br />เลวีนิติ 17:12 : "เพราะฉะนั้นเราจึงได้พูดกับคนอิสราเอลว่า ในพวกเจ้าอย่าให้คนใดรับประทานเลือดเลย หรือคนต่างด้าวผู้อาศัยท่ามกลางเจ้าก็อย่าได้รับประทานเลือด"<br /><br />3. เข้าสุหนัตในวันที่แปดเหมาะสมที่สุด วิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ค้นพบว่าเคมี(prothrombin)ที่ทำให้เลือดแข็งตัว ขึ้นยอดในร่างกายเด็กในวันที่แปดนี้ จึงเป็นวันที่ปลอดภัยที่สุดเพื่อการเข้าสุหนัตของเด็ก โมเสสรู้ได้อย่างไร! <br /><br />ปฐมกาล17:12 : "ผู้ชายที่มีอายุแปดวันจะเข้าสุหนัตในท่ามกลางพวกเจ้า เด็กผู้ชายทุกคนตลอดชั่วอายุของพวกเจ้า ผู้ชายที่เกิดในบ้านหรือเอาเงินซื้อมาจากคนต่างด้าวใดๆซึ่งมิใช่เชื้อสายของเจ้า"<br /><br />เลวีนิติ 12:3 : "ในวันที่แปดให้ตัดหนังปลายองคชาตของเด็กนั้นเสียเพื่อเป็นการเข้าสุหนัต"<br /><br />4. จุลินทรีย์ พระเจ้ารู้ล่วงหน้าว่าจะมีเชื้อโรคที่มองไม่เห็น พระคัมภีร์เตือนเราว่า"อย่ารับประทานสัตว์ที่ตายเองหรือถูกสัตว์กัดตาย" วันนี้เราเข้าใจว่าซากเน่าของสัตว์เต็มไปด้วยเชื้อโรค <br /><br />เลวีนิติ 22:8 : "สิ่งใดที่ตายเอง หรือถูกสัตว์กัดตาย อย่ารับประทาน เขาจะเป็นมลทินด้วยสิ่งเหล่านี้ เราคือพระเยโฮวาห์"<br /><br />อพยพ 22:31 : "เจ้าทั้งหลายเป็นคนบริสุทธิ์อุทิศแก่เรา เหตุฉะนั้นเนื้อสัตว์ที่ถูกกัดตายในทุ่งนา เจ้าอย่ากินเลย จงทิ้งให้สุนัขกินเสีย"<br /><br />5. เมื่อจัดการกับเชื้อโรคต้องล้างเสื้อผ้าและร่างกายโดยน้ำไหล คนในสมัยโบราณนั้นล้างเสื้อผ้าและอาบน้ำในน้ำขัง อย่างไม่รู้ไม่คิด วันนี้เราเข้าใจว่าจำเป็นต้องล้างเชื้อโรคไปกับน้ำจืดที่ไหล <br /><br />เลวีนิติ 15:13 : "เมื่อผู้มีสิ่งไหลออกได้ชำระสิ่งไหลออกของเขาแล้ว เขาต้องนับการชำระของเขาให้ครบเจ็ดวัน และเขาต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำที่ไหล เขาจึงจะสะอาด" <br /><br />6. พระคัมภีร์เดิมห้ามกินไขมันของวัว ,แกะและแพะ แต่ พระคัมภีร์ใหม่ให้กินทุกอย่างได้ด้วยการอธิษฐานขอบพระคุณ(1ทิโมธี4:4-5)แต่ว่ายังควรระมัดระวังสิ่งที่พระเจ้าห้ามในพระคัมภีร์เดิม เพราะว่าเร็วๆนี้สาธารณสุขให้เข้าใจว่าการบริโภคไขมันทำให้หลอดเลือดอุดตันและก่อให้เกิดเป็นโรคหัวใจ <br /><br />เลวีนิติ 7:23-24 : "จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เจ้าทั้งหลายอย่ารับประทานไขมันของวัว ของแกะหรือของแพะไขมันของสัตว์ที่ตายเอง และไขมันของสัตว์ที่สัตว์กัดตายจะนำไปใช้อย่างอื่นก็ได้ แต่อย่ารับประทานเลยเป็นอันขาด"<br /><br />7. พระเจ้าให้เราใช้ใบไม้ของต้นไม้เป็นยา (วิวรณ์ 22:2) คนสมัยโบราณใช้สมุนไพรหลายอย่างเป็นยา วันนี้การแพทย์กำลังพบใหม่ สิ่งที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ คือมีสารในพืชที่รักษาโรคต่างๆได้ <br /><br />เอเศเคียล 47:12 : "ตามฝั่งทั้งสองฟากแม่น้ำ จะมีต้นไม้ทุกชนิดที่ใช้เป็นอาหาร ใบของมันจะไม่เหี่ยวและผลของมันจะไม่วาย แต่จะเกิดผลใหม่ทุกเดือน เพราะว่าน้ำสำหรับต้นไม้นั้นไหลจากสถานบริสุทธิ์ ผลไม้นั้นใช้เป็นอาหารและใบก็ใช้เป็นยา"<br /><br /> 8. พระคัมภีร์เตือนต่อการกินสัตว์น้ำสกปรก พระคัมภีร์ระบุว่าเราควรหลีกเลี่ยงการรับประทานสัตว์น้ำที่ไม่มีครีบหรือเกล็ด ขณะนี้เรารู้ว่า ปลาที่อยู่กินด้านล่าง (ที่ไม่มีครีบและเกล็ด) มักจะกินเศษและมีแนวโน้มที่จะนำโรคมาสู่คนกิน <br /><br />เลวีนิติ 11:9-12 : "สัตว์ที่อยู่ในน้ำทั้งหมดเหล่านี้เจ้ารับประทานได้ ของทุกอย่างซึ่งอยู่ในน้ำที่มีครีบและมีเกล็ด จะอยู่ในทะเลหรือในแม่น้ำก็ตาม เจ้ารับประทานได้ แต่ทุกอย่างในทะเลและในแม่น้ำ ทุกอย่างที่เคลื่อนไหวในน้ำ และสิ่งมีชีวิตใดๆซึ่งอยู่ในน้ำ ไม่มีครีบและเกล็ด สัตว์เหล่านี้เป็นสิ่งที่พึงรังเกียจแก่เจ้า สัตว์เหล่านี้ยังคงเป็นสิ่งที่พึงรังเกียจแก่เจ้า เจ้าอย่ารับประทานเนื้อของมัน แต่ให้เจ้าถือว่าซากของมันเป็นที่พึงรังเกียจ อะไรก็ตามที่อยู่ในน้ำไม่มีครีบและเกล็ด เป็นสิ่งที่พึงรังเกียจแก่เจ้า"
<br /><br />
9. พระคัมภีร์เตือนไม่ให้รับประทานนกกินสัตว์ ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์รู้ว่านกเหล่านี้ที่กินซากสัตว์ มักจะกระจายโรค <br /><br />เลวีนิติ 11:13-19 : "ต่อไปนี้เป็นนกซึ่งให้เจ้าถือว่าเป็นสิ่งที่พึงรังเกียจท่ามกลางนกทั้งหลาย นกเหล่านี้รับประทานไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่พึงรังเกียจ คือนกอินทรี นกแร้ง นกออก นกเหยี่ยวหางยาว เหยี่ยวดำตามชนิดของมัน นกแกตามชนิดของมัน นกเค้าแมว นกเค้าโมง นกนางนวล เหยี่ยวนกเขาตามชนิดของมัน นกเค้าแมวเล็ก นกอ้ายงั่ว นกทึดทือ นกอีโก้ง นกกระทุง นกแร้ง นกกระสาดำ นกกระสาตามชนิดของมัน นกหัวขวาน และค้างคาว"<br /><br />10. น้ำมันมะกอกและแอลกอฮอล์เป็นยาดีสำหรับแผล พระเยซูบอกว่ามีชายชาวซามาเรียคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อเขาเดินทางมาเจอคนบาดเจ็บ เขา เทน้ำมันมะกอกและเหล้าองุ่นใส่แผล พันแผลให้ วันนี้เรารู้ว่าเหล้าองุ่นมีเอทิลแอลกอฮอล์และร่องรอยของเมทิลแอลกอฮอล์ ทั้งสองฆ่าเชื้อดี น้ำมันมะกอกยังเป็นยาฆ่าเชื้อที่ดีรวมทั้งความชุ่มชื้นผิว, ป้องกันและเป็นโลชั่นธรรมชาติ นี้เป็นความรู้ปกติให้เราในวันนี้ แต่คุณรู้ไหมว่า ในระหว่างสมัยกลางจนถึงเริ่มต้นศตวรรษที่ 20 มีคนหลายล้านเสียชีวิต เพราะพวกเขาไม่ทราบถึงการรักษาและป้องกันแผล <br />ลูกา 10:34 : "เข้าไปหาเขาเอาผ้าพันบาดแผลให้ พลางเอาน้ำมันกับเหล้าองุ่นเทใส่บาดแผลนั้น แล้วให้เขาขึ้นขี่สัตว์ของตนเองพามาถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง และรักษาพยาบาลเขาไว้"<br /><br /><img src="http://thai.landmarkbiblebaptist.net/Pic/DNA.gif" height=280 width=220alt=><br /><b>ความจริง 5 อย่างเกี่ยวกับ พันธุศาสตร์</b><br />1. พระเจ้ารู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับ DNA ระหว่าง ยุค 50 ดร.เจมส์ วัทสัน และ ดร.แฟรนซ์ คริค (Dr. James Watson, and Dr. Francis Crick) ค้นพบแผนการของพันธุศาสตร์ แต่ว่า สามพันปีมาแล้วพระคัมภีร์กล่าวถึงหนังสือที่บันทึกอวัยวะของมนุษย์ทุกชิ้นทุกส่วนก่อนเราเกิด หนังสือนั้นเรียกว่า ดี เอ็น เอ <br /><br />สดุดี 139:13-16 : "เพราะพระองค์ทรงปั้นส่วนภายในของข้าพระองค์ พระองค์ทรงทอข้าพระองค์เข้าด้วยกันในครรภ์มารดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ เพราะข้าพระองค์ถูกสร้างมาอย่างแปลกประหลาดและน่ากลัว พระราชกิจของพระองค์มหัศจรรย์ จิตใจข้าพระองค์ทราบเรื่องนี้อย่างดี เมื่อข้าพระองค์ถูกสร้างอยู่ในที่ลับลี้ ประดิษฐ์ขึ้นมา ณ ภายในที่ลึกแห่งโลก โครงร่างของข้าพระองค์ไม่ปิดบังไว้จากพระองค์ พระเนตรของพระองค์ทรงเห็นส่วนประกอบของข้าพระองค์ในเมื่อยังไม่สมบูรณ์ ในวันทั้งหลายที่กำลังประกอบขึ้น เมื่อครั้งไม่เกิดขึ้น อวัยวะทั้งหลายของข้าพระองค์ก็ทรงจารึกไว้ในพระตำรับของพระองค์"<br /><br />2. พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าสร้างสิ่งที่มีชีวิตตามชนิดของมัน นักวิทยาศาสตร์สังเกตสัตว์ต่างๆและเห็นด้วยกับพระเจ้าที่ได้แยกชนิดของสัตว์ต่างๆ คือว่า มีรอยทางพันธุกรรมแนวนอนขวางกั้นสิ่งที่มีชีวิตไม่สามารถผ่านได้ สิ่งมีชีวิตออกผลตามชนิดของตัวเอง สุนัขออกผลเป็นสุนัข แมวออกผลเป็นแมว กุหลาบออกผลเป็นดอกกุหลาบ ตามที่ วิวัฒนาการทางธรรมชาติสมมุติฐานว่ามีสัตว์ชนิดหนึ่งเปลี่ยนเป็นชนิดอื่นแต่ว่านักวิทยาศาตร์ไม่เคยสังเกตตามสมมุติฐานนี้เลย มีข้อจำกัดตามธรรมชาติอย่างแท้จริงที่ขวางกั้นในการเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยา <br /><br />ปฐม กาล 1;11-12 : "พระเจ้าตรัสว่า “จงให้แผ่นดินเกิดต้นหญ้า ต้นผักที่มีเมล็ด และต้นไม้ที่ออกผลที่มีเมล็ดในผลตามชนิดของมันบนแผ่นดิน” ก็เป็นดังนั้น แผ่นดินก็เกิดต้นหญ้า ต้นผักที่มีเมล็ดตามชนิดของมัน และต้นไม้ที่ออกผลที่มีเมล็ดในผลตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี"<br /><br />ปฐม กาล 1:24-25 : "พระเจ้าตรัสว่า “จงให้แผ่นดินโลกเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่าบนแผ่นดินโลกตามชนิดของมัน” ก็เป็นดังนั้น พระเจ้าได้ทรงสร้างสัตว์ป่าบนแผ่นดินโลกตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน และบรรดาสัตว์ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดินโลกตามชนิดของมัน แล้วพระเจ้าทรงเห็นว่าดี"<br /><br />3. พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์จากสายโลหิตอันเดียวกัน (ปฐมกาลบทที่5 ทั้งหมด) วันนี้มีนักวิจัยค้นพบว่าเราได้สืบทอดทั้งหมดจากกองยีนเดียว อย่างเช่น ในคศ. 1995 มีการศึกษา Y โครโมโซมจากผู้ชาย38 คนจากกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆทั่วโลก ซึ่ง ตรงกันกับคำสอนของพระคัมภีร์ ที่สอนว่าเราทั้งหมดมาจากมนุษย์คนเดียว คืออาดัม <br /><br />กิจการ 17:26 : "พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติสืบสายโลหิตอันเดียวกันให้อยู่ทั่วพื้นพิภพโลก และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาอยู่"<br /><br />4. มนุษย์ถูกสร้างอย่างแปลกประหลาดและน่ากลัว เราเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเพื่อการวิจัยความละเอียดซับซ้อน ของโมเลกุล DNA, ตา, สมอง และทุกส่วนของชีวิตประกอบที่สลับซับซ้อน ไม่มีการประดิษฐ์ของมนุษย์เปรียบเทียบกับสิ่งมหัศจรรย์ของการสร้างของพระเจ้า <br /><br />สดุดี 139:14 : "ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ เพราะข้าพระองค์ถูกสร้างมาอย่างแปลกประหลาดและน่ากลัว พระราชกิจของพระองค์มหัศจรรย์ จิตใจข้าพระองค์ทราบเรื่องนี้อย่างดี"<br /><br />5. โปรตีนหรือ DNA อันไหนมาก่อน? นักวิวัฒนาการทางธรรมชาติ มีปัญหาที่ลึกกว่า คำถามว่าไก่หรือไข่ อันไหนมาก่อนกัน ไก่ประกอบด้วยโปรตีน รหัสของโปรตีนแต่ละอันอยู่ในระบบ DNA / RNA แต่โปรตีนที่จำเป็นเพื่อการผลิต DNA ดังนั้น โปรตีนหรือ DNAอันไหนมาก่อน? มีคำอธิบายเดียวคือทั้งสองถูกสร้างขึ้นพร้อมกัน <br /><br />วิวรณ์ 4:11 : "โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงสมควรที่จะได้รับคำสรรเสริญ พระเกียรติ และฤทธิ์เดช เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงนั้นก็ทรงสร้างขึ้นแล้วและดำรงอยู่ตามชอบพระทัยของพระองค์"</big>JohnBaptistHenryhttp://www.blogger.com/profile/02868801750545362821noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6362001047782108830.post-15468591800930993922011-01-11T23:58:00.000-08:002015-09-02T21:49:29.340-07:00<center><b><big><big><big> วิวัฒนาการทางธรรมชาติ กับ การสร้างในกรณีพิเศษ ทฤษฎีไหนกันแน่ที่ถูกต้อง</big></big></big></b><br /> <br /> <br /><img src="http://thai.landmarkbiblebaptist.net/Pic/SpiralGalaxy-M81.jpg" height=250width=280alt="THAI TRIBE GIRL"></center><br /><br /> <big> โดย คริสตจักรพระวาทะแบ๊พติสท์หนองคาย<br /> <br /><b> คำนำ</b><br />วิทยาศาสตร์คือ ความรู้ที่ได้จากการสังเกตและค้นคว้าจากการประจักษ์ทางธรรมชาติ แล้วจัดเข้าเป็นระเบียบ ในเริ่มแรกนักวิทยาศาสตร์ต้องตั้งข้อสมมุติฐานก่อน (ข้อสมมุติฐานคือข้อที่ใช้เป็นมูลฐานในการหาเหตุผลของการทดลองหรือการวิจัย) ถ้าผ่านการทดลองแล้วเห็นว่ามีหลักฐานเพียงพอและถูกต้องเสมอ ข้อสมมุติฐานนั้นจะขึ้นมาเป็นทฤษฎี ( ทฤษฎี คือลักษณะที่คาดคิดเอาตามหลักวิชาการ เพื่อเสริมเหตุผลและหลักฐาน ให้แก่ประสบการณ์ หรือข้อมูลในภาคปฎิบัติ ซึ่งเกิดขึ้นมาอย่างมีระเบียบ) ตั้งแต่โบราณมาจนถึงทุกวันนี้ มนุษย์มีข้อคิดอยู่สองอย่าง เกี่ยวกับการเริ่มต้นของจักรวาลและสิ่งมีชีวิตคือ 1. วิวัฒนาการทางธรรมชาติ 2. การสร้างในกรณีพิเศษ<br />เมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว มีบุคคลผู้หนึ่งชื่อ ชาร์ล ดาร์วิน เขาได้พยายามทำให้ข้อสมมุติฐานของเขาขึ้นมา เป็นวิทยาศาสตร์ โดยพยายามแสดงข้อสมมุติฐานของเขาว่า สิ่งมีชีวิตค่อยๆเจริญขึ้นมาจากสิ่งที่ง่ายไปหาสิ่งที่ยาก ในปัจจุบันนี้วิวัฒนาการทางธรรมชาติได้สอนว่า สิ่งมีชีวิตเกิดจากอะตอมต่างๆ ที่ไม่มีชีวิตเจริญขึ้นมาเป็นเซลล์ๆหนึ่งที่มีชีวิต แล้วค่อยๆเจริญขึ้น โดยใช้เวลานับล้านๆปี เจริญขึ้นเป็นสัตว์น้ำ แล้วเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ขึ้นมาเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ขึ้นมาเรื่อยๆจนเป็นสัตว์บก จนกระทั่งเป็นมนุษย์ ข้อคิดทั้งสองอย่างนี้ จะเรียกว่าเป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้ เพราะว่ามนุษย์จะเฝ้าสังเกตและค้นคว้าไม่ได้แน่นอน เนื่องจากจักรวาลและสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาก่อนที่จะมีมนุษย์มานานมากแล้ว และเราก็ไม่สามารถทำการทดลองตามวิทยาศาสตร์ได้ ดังนั้นเราต้องใช้ระบบการพิสูจน์ตามกระบวนการแบบศาล คือพิสูจน์จากหลักฐาน ต่างๆ เพื่อจะได้รู้ว่าข้อใดคือความจริง ขอให้ท่านจงพิสูจน์จากหลักฐานดังต่อไปนี้<br /><br /><b>การเริ่มต้นของจักรวาลมี2ข้อคิด</b><br />1. วิวัฒนาการทางธรรมชาติ วิวัฒนาการทางธรรมชาติมีข้อสมมุติฐานเกี่ยวกับการเริ่มต้นของจักรวาลอยู่ 2 ข้อคิดคือ ข้อสมมุติฐานเกี่ยวกับการกำหนดสภาพเสมอ และข้อสมมุติฐานการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่<br />ก. ข้อสมมุติฐานการกำหนดสภาพเสมอ ข้อนี้สันนิษฐานว่า มีสสาร (อาจจะเป็นก๊าซไฮโดเจน) ที่ขึ้นมาเองเรื่อยๆในอวกาศ ซึ่งอยู่ไกลมากจนเราไม่สามารถมองเห็นได้ มีการเปลี่ยนแปลงและเจริญขึ้นมาเอง จนเป็นวัตถุและสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่เรามองเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้<br />ข. ข้อสมมุติฐานเกี่ยวกับการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ ข้อนี้สันนิษฐานว่า สสารที่เจริญขึ้นมาจนถึงสภาพในปัจจุบันนี้ เริ่มมาจากในอดีตเป็นเวลาหลายล้านปี ได้มีการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงอำนาจจากการระเบิดมาเป็นสสาร การระเบิดนี้อาจจะเกิดขึ้นเพราะแรงดึงดูดของจักรวาลในอดีต ที่ได้เกิดการถล่มและการระเบิดขึ้น<br />2. การสร้างในกรณีพิเศษ ผู้ที่ถือทฤษฎีนี้เชื่อว่า “พระเจ้าได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น ”(ฮีบรู11:3)<br />พระเจ้าทรงเป็นต้นกำเนิดทุกอย่าง<br />- ต้นกำเนิดของอวกาศที่ไม่มีเขตจำกัด ต้องมาจากผู้ที่ไม่มีเขตจำกัด<br />- ต้นกำเนิดของเวลาที่ไม่มีจุดจบ ต้องมาจากผู้ที่ไม่มีเริ่มแรกและไม่มีสิ้นสุด<br />- ต้นกำเนิดของพลังที่ไม่มีเขตจำกัด ต้องมาจากผู้ที่มีอำนาจทุกอย่างและทุกทาง<br />- ต้นกำเนิดของความสัมพันธ์ที่เกี่ยวโยงกัน ต้องมาจากผู้ที่แทรกตัวอยู่ทุกแห่งในเวลาเดียวกัน<br />- ต้นกำเนิดของความละเอียดซับซ้อน ต้องมาจากผู้ที่รอบรู้ทุกอย่างและทุกทาง<br /><br /><b>หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับการสร้างในกรณีพิเศษและวิวัฒนาการทางธรรมชาติ</b><br /><b>1. กฎวิทยาศาสตร์</b> 2 กฎ จากวิทยาศาสตร์แขนงเทอโมไดนามิค คือแขนงที่ศึกษาความเคลื่อนไหวจากความร้อน และพลังงานอื่นเปลี่ยนเป็นกำลังงาน ( ปฐมกาล 2:1)<br />ก. กฎที่1 เรียกว่า การแปลงพลังงาน กฎนี้บอกว่าไม่มีสิ่งใดปรากฏขึ้นมาเองหรือถูกทำลายสูญไป ในปัจจุบันนี้มีแต่การเปลี่ยนแปลงเท่านั้น ทุกสิ่งที่คงอยู่ในจักรวาล( เวลาและอวกาศ รวมทั้งโลกนี้ด้วย) เป็นพลังงาน และทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นการแปลงพลังงาน กฎนี้มีความสำคัญมากที่สุด เพราะเป็นกฎที่มีข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดทางวิทยาศาสตร์ กฎนี้ได้แสดงอย่างชัดเจนและหนักแน่นว่า จักรวาลไม่ได้สร้างตัวมันเอง<br />ข. กฎที่2 เรียกว่า กฎแห่งการเสื่อมพลังงาน กฎนี้บอกว่า ทุกระบบที่ปล่อยให้มันเป็นไปโดยตัวของมันเอง จะต้องเปลี่ยนแปลงจากความมีระเบียบไปจนกระทั่งเป็นความยุ่งเหยิง พลังงานจะเปลี่ยนแปลงและลดลงเรื่อยๆ ลงมาเป็นพลังงานที่พอจะใช้งานได้แล้วจะลดลงไปจนกระทั่งสิ้นสุดและนำมาใช้ต่อไปไม่ได้ กฎวิทยาศาสตร์กฎนี้ได้แสดงอย่างชัดเจนว่า วิวัฒนาการทางธรรมชาตินั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอน เพราะมันขัดแย้งกันตรงที่ว่า ธรรมชาติเจริญขึ้นมาจากความยุ่งเหยิง ไปจนกระทั่งขึ้นมาเป็นความมีระเบียบที่ละเอียดซับซ้อน ซึ่งมันผิดไปจากหลักความจริงอย่างเห็นได้ชัด และที่ชัดเจนที่สุดก็คือ จักรวาลนี้กำลังเสื่อมลงเรื่อยๆ (ปฐมกาล3: 17-19)<br />ค. ทั้งสองกฎตรงกับพระคัมภีร์<br />กฎที่1 แสดงว่าจักรวาลไม่ได้สร้างตัวของมันเอง แต่จักรวาลต้องมีต้นกำเนิด พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน ” (ปฐมกาล1: 1) “พระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมา และในบรรดาสิ่งทั้งปวงที่เป็นขึ้นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระองค์” (ยอห์น1:3) “เพราะว่าโดยพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้นในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา” (โคโลสี1:16) “เพราะพระองค์ทรงบัญชา สิ่งเหล่านั้นก็ถูกเนรมิตขึ้นมา ” (สดุดี148:5)<br />กฎที่2 บอกว่าสรรพสิ่งทั้งปวงอยู่ในอำนาจของอนิจจังและกำลังเปื่อยเน่า “พระองค์จึงตรัสแก่อาดัมว่า...เจ้ากินผลไม้ที่เราห้าม แผ่นดินจึงต้องถูกสาปเพราะตัวเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความทุกข์ลำบากจนตลอดชีวิต...เจ้าจะต้องหากินด้วยอาบเหงื่อจนเจ้ากลับเป็นดินไป เพราะเราสร้างเจ้ามาจากดิน เจ้าเป็นผงคลีดินและเจ้าจะต้องกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม” (ปฐมกาล3: 17,19) “ เพราะว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นต้องเข้าอยู่ในอำนาจของอนิจจัง ไม่ใช่ตามใจชอบของตนเอง แต่เป็นไปตามพระองค์ผู้ทรงบันดาลให้เข้าอยู่นั้นด้วยมีความหวังใจ ว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นจะได้รอดจากอำนาจแห่งความเปื่อยเน่า และจะเข้าในเสรีภาพซึ่งมีสง่าราศีแห่งบุตรทั้งหลายของพระเจ้าด้วย” (โรม8:20-21) “ จงแหงนตาดูฟ้าสวรรค์ และมองดูโลกเบื้องล่าง เพราะว่าฟ้าสวรรค์จะสูญสิ้นไปเหมือนควัน และแผ่นดินโลกจะร่อยหรอไปเหมือนอย่างเสื้อผ้า และเขาทั้งหลายผู้อาศัยอยู่ในนั้นจะตายไปเหมือนกัน แต่ความรอดของเราจะอยู่เป็นนิตย์ และความชอบธรรมของเราจะไม่สิ้นสุดเลย” (อิสยาห์51:6)<br /> <img src="http://thai.landmarkbiblebaptist.net/Pic/OceanWave1.jpg" height=95 width=106alt=><br /><b>2. จักรวาล โลก และสิ่งมีชีวิต อายุมากหรือน้อย?</b><br />ข้อสมมุติฐานเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางธรรมชาติสอนว่า จะต้องใช้เวลานานหลายปี มีนักดาราศาสตร์บางคนสันนิษฐานเกี่ยวกับจักรวาลนี้ว่า มีอายุน้อยกว่า 30,000,000,000ปี (สามสิบพันล้าน) แต่เรามักจะได้พบเห็นจากหนังสือ วิทยุ หรือโทรทัศน์บ่อยๆ ที่นักวิทยาศาสตร์บางคนได้สันนิษฐานเกี่ยวกับดวงดาวต่างๆในจักรวาล ไดโนเสาร์ และอายุของโลกว่ามีอายุหลายล้านปี และสิ่งมีชีวิตเริ่มขึ้นมาประมาณ 4,000,000,000ปี(สี่พันล้าน)ที่แล้ว ส่วนการสร้างในกรณีพิเศษ ทฤษฎีนี้สอนว่า จักรวาลถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 6,000ปี ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ตามหลักวิวัฒนาการทางธรรมชาตินั้นมีโอกาสที่จะเป็นไปได้เพียง 1 ในร้อยล้าน พันๆล้าน (1ใน 10) แต่เราจะลองสมมุติว่าเป็นไปได้ ถ้ามีเวลามากขนาดนั้น จงดูหลักฐานต่อไปนี้ที่แสดงว่าโลกไม่ได้มีอายุมากมายถึงขนาดนั้น เพราะเขามีเวลาไม่มากมายถึงขนาดนั้นแน่ เนื่องจากจักรวาลนี้มีอายุน้อยกว่านั้นมากนัก<br />ก. หลักฐานทางพระคัมภีร์แสดงว่า เมื่อ 4,000 ปีที่แล้วมีน้ำท่วมโลก(ปฐมกาล6-9)ในครั้งนั้นมีผู้รอดชีวิตเพียง8คน ยังมีหลักฐานอื่น นอกจากพระคัมภีร์อีก200กว่าอย่าง ที่ได้กล่าวถึงเรื่องน้ำท่วมโลกครั้งนี้ จากชนชนติและภาษาต่างๆทั่วโลกที่ได้ยืนยัน มีทั้งแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และมีคลื่นยักษ์ที่ใหญ่มากเกิดขึ้นกับน้ำท่วมครั้งนั้น จากความหายนะครั้งใหญ่ มันสามารถให้คำตอบได้ดีเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในชั้นหินของพื้นโลกตามศาสตร์แขนงธรณีวิทยา อีกอย่างหนึ่งจากน้ำท่วมโลกครั้งนี้ จากการสำรวจประชากรโลก นักวิทยาศาสตร์ผู้ได้ศึกษาจำนวนประชากรโลกได้แสดงว่า ประชากรโลกในปัจจุบันนี้จะขึ้นมาจาก 8 คน ในเวลา 4,000ปีได้ แต่ถ้าหากมนุษย์อยู่บนโลกนี้นานถึง 500,000ปี (ห้าแสนปี) โลกนี้จะไม่สามารถรับจำนวนประชากรของโลกในปัจจุบันนี้ได้ เพราะมันจะต้องล้นโลกแน่นอน<br />ข. ฝุ่นละอองจากดาวหาง ดาวตกจากอวกาศ ในทุกๆปี จะมีฝุ่นละอองจากอวกาศกระจายตกลงมาทั่วโลกนี้ประมาณ 14 ล้านตัน ถ้าหากโลกนี้มีอายุ 5 พันล้านปี (5,000,000,000) ทั่วโลกนี้จะต้องมีฝุ่นละอองหนาประมาณ 182 ฟุต ถ้าโลกนี้มีอายุ 5 ล้านปี ( 5,000,000) จะต้องมีฝุ่นหนาประมาณ 2 นิ้วเสมอ แต่ไม่มีหลักฐานที่ปรากฏว่ามีฝุ่นจากอวกาศหรือบนพื้นโลกมากขนาดนั้นเลย เมื่อหน่วยส่งจรวดของอเมริกาจะส่งจรวดขึ้นไปบนดวงจันทร์เขาคิดว่าจะมีฝุ่นบนนั้นประมาณ 54 ฟุต แต่เมื่อลงบนดวงจันทร์แล้วปรากฏว่ามีฝุ่นประมาณ -3 นิ้ว ถ้ามีฝุ่นหนาขนาดนี้ จะต้องใช้เวลาสะสมประมาณ 8,000 ปี<br />ค. ขนาดของดวงอาทิตย์ที่กำลังเล็กลง นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการเฝ้าสังเกตดูดวงอาทิตย์มา 100 กว่าปีแล้ว มีหลักฐานอย่างหนักแน่นว่า ขนาดของดวงอาทิตย์กำลังเล็กลงชั่วโมงละ 5 ฟุต ถ้าเฉลี่ยออกมาจะเท่ากับ 1% ต่อ 1,000 ปี ถ้าสมมุติว่าโลกมีอายุ 1แสนปี (100,000) ดวงอาทิตย์ก็จะมีขนาดใหญ่กว่าปัจจุบันนี้ เพียง 6% ก็ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน<br />ง. รอยเท้าไดโนเสาร์กับมนุษย์ ได้มีการพบฟอสซิลของรอยเท้าไดโนเสาร์และรอยเท้าของมนุษย์อยู่ในชั้นเดียวกัน ที่รัฐเทกซัส อเมริกา นักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ดูอย่างละเอียดและรู้แน่นอนแล้วว่า เป็นรอยเท้าของไดโนเสาร์และรอยเท้าของมนุษย์ ซึ่งมีรอยเดินเป็นทางหลายรอย และตรงที่มีรอยเดินสวนกันนั้น รอยเท้าอยู่ห่างกันเพียง 18 นิ้ว และยังมีการพบในรัสเซียและที่ออสเตรเลียอีกด้วย ความคิดตามวิวัฒนาการสอนว่า ไดโนเสาร์ได้สูญไปจากโลกนี้เมื่อหลายล้านปีก่อนที่จะมีมนุษย์ขึ้นมา<br />จ. การกัดเซาะดินของน้ำ หินโสโครกในทะเล วงโคจรของดวงจันทร์กำลังขยายออกไป ความดันที่อัดแน่นในน้ำมันที่ชั้นหินใต้ดิน และยังมีอีก 50 กว่าอย่างที่แสดงว่า จักรวาลและสิ่งที่มีชีวิตมีอายุน้อย<br />ฉ. หลักฐานที่ดีที่สุดของผู้ที่เชื่อวิวัฒนาการทางธรรมชาติที่เขาใช้พยายามแสดงว่า โลกมีอายุมากคือ ชาร์ทแสดงลำดับชั้นของหิน การทดลองหาอายุของหินและฟอสซิลโดยการใช้ ธีเรดิโอเมตริก เช่น ( โปรแตสเซียมอาร์กอน ยูเรเนียม ตะกั่ว และคาร์บอน 14) <br /> <img src="http://thai.landmarkbiblebaptist.net/Pic/HurricaneKatrina-28Aug05.jpg" height=95 width=106alt=><br /><br /><b>3. ชาร์ททางธรณีวิทยา ที่นักวิทยาศาสตร์ใช้สนับสนุนทฤษฎีของ ชาร์ล ดาร์วิล</b><br />ชาร์ทนี้ทำขึ้นเมื่อประมาณ 150 ปีที่แล้ว ก่อนการใช้เรดิโอเมตริกทดลองหาอายุของหินและฟอสซิล ชาร์ทนี้แสดงว่าสิ่งมีชีวิตเจริญขึ้นมาเป็นสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังประมาณ 500ล้านปีที่แล้ว และสัตว์ที่เรียกว่าทริลโอไบท์เจริญขึ้นมาเมื่อประมาณ 1,000ล้านปีที่แล้ว ต่อมาเป็นปลาประมาณ 700 ล้านปีที่แล้ว เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำประมาณ 600ล้านปีที่แล้ว และเป็นสัตว์เลื้อนคลานเมื่อ 400ล้านปีที่แล้ว เป็นไดโนเสาร์ประมาณ 300ล้านปีที่แล้ว แล้วขึ้นมาเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเมื่อประมาณ100ล้านปีที่แล้ว และขึ้นมาเป็นมนุษย์ เมื่อ 5 แสนปีที่แล้ว ชาร์ทนี้มีข้อสะดุดมากคือ<br />ก. ไม่มีชั้นหินใดในโลกนี้ที่เป็นไปตามชาร์ทของเขาได้อย่างสมบรูณ์<br />ข. เคยมีการพบกระดูกของมนุษย์ในถ่านหินที่มีอายุตามชาร์ทนั้น ประมาณระหว่าง 20 -50ล้านปี แต่ตามชาร์ทนั้นบอกว่า มนุษย์ขึ้นมาเมื่อ 5 แสนปีที่แล้ว<br />ค. เคยมีคนพบทริลโอไบท์กับรอยเท้าของไดโนเสาร์ ตามชาร์ทนั้นทริลโอไบท์มีอายุ 1,000ล้านปี แต่มันอยู่กับไดโนเสาร์ ซึ่งตามชาร์ทไดโนเสาร์มีอายุประมาณ 200ล้านปี ซึ่งตัวเลขมันห่างไกลกันลิบลับ ไม่สมดุลกันแม้แต่น้อย<br />ง. บรรทัดฐานของชาร์ทนี้ คือ การสันนิษฐาน ซึ่งไม่มีหลักการตามวิทยาศาสตร์เลย<br />จ. วิธีการทดลองหาอายุของหินและฟอสซิลโดยใช้คาร์บอน 14 เมื่อทำการทดลองแล้วได้ข้อสรุปว่า หินและฟอสซิลมีอายุห่างไกลกันระหว่าง 70,000-1,000,000ปี และการหาฟอสซิลโดยวิธีเรดิโอเมตริก ก็ไม่เคยได้ตัวเลขที่ใกล้เคียงกันหรือตรงกันเลย <br /><b>4. การทดลองหาอายุของหินและฟอสซิลโดยใช้วิธีเรดิโอเมตริก</b> วิธีนี้ใช้ไม่ได้เหมือนกัน ยกเว้น คาร์บอน14 ถ้าสิ่งที่ทดลองนั้นอายุน้อยกว่า 3,000ปี วิธีเรดิโอเมตริกจะมีปัญหาดังต่อไปนี้คือ<br />ก. มีภูเขาไฟระเบิดที่หมู่เกาะฮาวายในปี คศ. 1801 หินลาวาที่ไหลออกมามีอายุระหว่าง 160-3,000ล้านปี แต่ในความจริงแล้ว หินลาวานั้นมีอายุระหว่าง 200ปีเท่านั้น<br />ข. เคยมีการใช้โปรแตสเซียมอาร์กอนทดลองกระดูกของลิง และคาร์บอน14ทดลองกระดูกของสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมจากกระดูกที่พบในชั้นหินเดียวกัน โปรแตสเซียมอาร์กอนบอกอายุของลิงว่า มีอายุประมาณ 1-2 ล้านปี ส่วนคาร์บอน14 บอกอายุของสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมว่า มีอายุประมาณ 15,000ปี<br />ค. วิธีเรดิโอเมตริกมีปัญหาเกี่ยวกับบรรทัดฐานในการทดลองไม่ชัดเจนและไม่แน่นอน มีแต่คาร์บอน14 เท่านั้นที่สามารถใช้ได้ ถ้าสิ่งที่จะทำการทดลองนั้นมีอายุน้อยกว่า 3,000ปี เพราะว่ามีพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงได้<br />ง. แต่มีบ่อยครั้งที่นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อในวิวัฒนาการทางธรรมชาติ ได้ตั้งเครื่องวัดคาร์บอน14 ไม่ตรงตามมาตรฐานตามความจริง แต่เป็นไปตามสมมุติฐานของเขาเอง<br /><br /><b>5. ความมีระเบียบและความละเอียดซับซ้อนของจักรวาล</b><br />ก. ระบบการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ โดยเฉพาะการที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ในทุก 365 กับ 1/4วัน ทุกๆรอบเป็นเวลา 1 ปี และโลกนี้หมุนรอบตัวเอง 1 รอบเป็นเวลา 24 ชั่วโมง เท่ากับ 1 วัน การที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลก 1รอบ เป็นเวลา 30 วัน หรือ 1 เดือน เป็นอย่างนี้เรื่อยๆไป เป็นวัฏจักร( ปฐมกาล 1:14-19)<br />ข. อะตอมเป็นสิ่งที่ละเอียดซับซ้อนมาก อะตอมประกอบด้วย โปรตอน นิวตรอนและอีเลคตรอน<br />นิวเคลียสประกอบด้วย โปรตรอนและนิวตรอน อีเลคตรอนจะโคจรอยู่รอบๆนิวเคลียส ซึ่งการโคจรของมันนั้นคล้ายๆกับการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ สสารทุกอย่างประกอบด้วยอะตอม อะตอมจะเกาะกันอยู่อย่างมีระเบียบ ในขณะที่มันวิ่งอีเลคตรอนของมันก็ยังโคจรอยู่รอบๆนิวเคลียส ทุกๆอะตอมจะเกาะติดกันอยู่โดยไม่แตกกระจายหลุดออกจากกันเลย อะตอมมีขนาดเล็กมากขนาดใช้กล้องจุลทัศน์ส่องก็ยังไม่สามารถมองเห็นได้ ( ฮีบรู 11:3, โคโลสี1:16)<br />ค. ข้างในนิวเคลียสของทุกเซลล์ จะมีโครโมโซม 23 คู่ โครโมโซมนี้ประกอบด้วยโมเลกุล D.N.A. โมเลกุล D.N.A. มีหลายพันธุ์ ยีนส์ที่มีโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตต่างๆ จะมีชีวิตและความเป็นอยู่ตามชนิดและลักษณะของมัน ยีนส์เป็นตัวกำหนดความละเอียดซับซ้อนของสิ่งมีชีวิต ซึ่งเป็นวิธีที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้ (ปฐมกาล1:21,24,25) <br />ง. ร่างกายของมนุษย์ มีหลายระบบที่ละเอียดซับซ้อนมาก เช่น ระบบโลหิต ระบบลมหายใจ ระบบอาหาร ระบบการสัมผัส และระบบสมอง ซึ่งระบบของสมองนี้เป็นสิ่งที่ละเอียดซับซ้อนมากที่สุดในจักรวาล เปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์ที่พระเจ้าสร้างขึ้น ซึ่งมีระบบซับซ้อนเกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจได้<br /><img src="http://thai.landmarkbiblebaptist.net/Pic/DNA.gif" height=120 width=110alt=><br /><b>6. ความสัมพันธ์ที่เกี่ยวโยงกันในจักรวาล</b><br />ก. มนุษย์และสัตว์มีชีวิตที่เกี่ยวโยงกันกับพืช เช่น มนุษย์และสัตว์ต้องการออกซิเจนในการหายใจ ใบของพืชทำการก่อสร้างและปล่อยออกซิเจนออกมาในอากาศให้มนุษย์และสัตว์ได้หายใจ มนุษย์และสัตว์ก็หายใจออกมาเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้พืชได้หายใจอีก ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่อาศัยซึ่งกันและกัน<br />ข. แรงดึงดูดของดวงอาทิตย์ แรงดึงดูดนี้ดึงโลกและดาวเคราะห์ต่างๆไว้ให้โคจรรอบดวงอาทิตย์ ทำให้โลกไม่หลุดกระเด็นออกไปนอกจักรวาล แรงดึงดูดมีระยะห่างกัน 93 ล้านไมล์ ซึ่งเป็นระยะที่ให้อุณหภูมิพอดีแก่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในโลก ซึ่งไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป ( โยบ26:7)<br />ค. ความร้อนของดวงอาทิตย์ ทำให้น้ำในทะเลและน้ำในแม่น้ำลำคลองระเหยขึ้นไปเป็นไอในอากาศ จับตัวกันเป็นเมฆ ลมพัดพาเมฆไปกระทบความเย็นกลั่นตัวเป็นน้ำฝนตกลงมารดต้นไม้บนแผ่นดิน และไปเป็นแม่น้ำลำคลอง แล้วไหลลงสู่ทะเล เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ เป็นวัฏจักร(ปัญญาจารย์1:5-7)<br /><br /><b>จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ได้แสดงให้เราเห็นอะไรบ้าง?</b><br /><b>1. หลักฐานที่แสดงถึงวิวัฒนาการทางธรรมชาติ</b> ไม่มีหลักฐานสักข้อเดียวที่แสดงถึงการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ หรือสัตว์เซลล์เดียวจะเจริญขึ้นมาจนกระทั่งกลายเป็นมนุษย์โดยการบังเอิญ การที่เขาอยากให้เราได้เชื่อว่า มนุษย์เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญตามวิวัฒนาการทางธรรมชาตินั้น มีโอกาสเป็นไปได้เท่ากับการเกิดหนังสือพจนานุกรมโดยการระเบิดในโรงพิมพ์ หนังสือจะเกิดจากการระเบิดอย่างนี้ไม่ได้แน่นอน เช่นเดียวกับการที่มนุษย์จะเกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ หรือจะเกิดจากการระเบิดครั้งใหญ่ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะใช้เวลานานหลายร้อยหลายพันล้านปีก็ตาม วิวัฒนาการไม่ใช่วิทยาศาสตร์ไม่ใช่ทฤษฎีแต่เป็นการสร้างเรื่องของคนที่ไม่อยากจะเชื่อว่ามีพระเจ้า (สดุดี14:1, โรม1:18-25)<br /><b>2. หลักฐานที่แสดงถึงการสร้างในกรณีพิเศษ </b> <br />ก. หลักฐานต่อไปนี้แสดงว่ามีพระเจ้า <br />1) ธรรมชาติเกิดขึ้นมาเองไม่ได้<br />2) ธรรมชาติที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันอย่างมีระบบระเบียบเช่นนี้ ต้องมีผู้สร้างและ ผู้ออกแบบ<br />3) พลังงานที่มีอยู่ในจักรวาล ต้องมาจากผู้ที่มีอำนาจไม่มีเขตจำกัด และเวลาที่ไม่มีจุดจบ ต้องมาจากผู้ที่ไม่มีเริ่มแรกและไม่มีสิ้นสุด<br />4) สิ่งมีชีวิตต้องมาจากผู้ที่มีชีวิต และมีความรู้ทุกอย่างและทุกหนทาง<br />ข. หลักฐานทางวิทยาศาสตร์แสดงว่าโลกนี้มีอายุประมาณ 6,000ปี และอายุนี้ตรงกับพระคัมภีร์ของพระเจ้า <br />ค. มีหลักฐานว่าสัตว์ทริลโอไบท์ที่สูญไป ตามวิวัฒนาการบอกว่ามันมีอายุประมาณ 1,000ล้านปี และไดโนเสาร์มีอายุ 200 ล้านปี และมนุษย์มีอายุ 5 แสนปี ในความจริงแล้ว สิ่งที่กล่าวมานี้ มีอายุและชีวิตอยู่ในเวลาเดียวกัน จากหลักฐานจากหินและฟอสซิลที่มีอยู่ในชั้นหินเดียวกัน ไม่ใช่มีชีวิตต่างกันเป็นเวลานานเช่นนั้น <br />ง. วิทยาศาสตร์แสดงแน่นอนว่า ในปัจจุบันนี้ไม่มีสสารใดๆที่กำลังถูกสร้างขึ้นใหม่ในจักรวาล <br />( ปัญญาจารย์1:9-10 ) และไม่มีสสารใดๆที่กำลังสูญเสียไปจากจักรวาลนี้ มีแต่การเปลี่ยนแปลงสถานะของมัน และมันเสื่อมลงเรื่อยๆเท่านั้น<br />จ. พระเจ้าเที่ยงแท้มีองค์เดียวเท่านั้น พระองค์ประกอบด้วย 3 ส่วน คือพระบิดา พระวาทะ( พระเยซูคริสต์) และพระวิญญาณบริสุทธิ์( 1ยอห์น 5:7) พระองค์ผู้ทรงสร้างจักรวาล ซึ่งจักรวาลนี้ก็ประกอบด้วย 3 ส่วนเช่นเดียวกัน<br />1) จักรวาลประกอบด้วย ที่ว่างเปล่า( อวกาศ) สสาร อะตอม เวลา <br />- ที่ว่างเปล่าจะมี 3 มิติ คือความกว้าง ความยาว ความสูง<br />- เวลา ประกอบด้วย อดีต ปัจจุบัน อนาคต<br />- สสารประกอบด้วย ธรรมชาติที่ปรากฏให้เห็น ความเคลื่อนไหว พลังงาน<br />2) สสารทุกชนิดประกอบด้วยอะตอม อะตอมประกอบด้วย 3 ส่วนคือ ที่ว่างเปล่า สสาร และพลังงาน <br />3) ความสว่างประกอบด้วย 3 อย่าง คือ รังสี ความร้อน แสงสว่าง <br />4) พระเจ้าสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์ มนุษย์มีองค์ประกอบ 3 ส่วนคือ ร่างกาย จิตใจ วิญญาณ( ปฐมกาล 1:26-27,1 เธสะโลนิกา 5:23)<br /><br /><b>บทสรุป</b><br />จักรวาลเต็มไปด้วยหลักฐานที่แสดงว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้าง ( สดุดี19:1, ฮีบรู 11:3,โรม 1:20) พระคัมภีร์ไม่ได้เป็นหนังสือวิชาวิทยาศาสตร์ แต่พระคัมภีร์กล่าวถึงธรรมชาติตรงตามวิทยาศาสตร์ หลายพันปีก่อน วิลเลี่ยม ฮาเว่ย์ ได้ค้นพบความรู้เกี่ยวกับระบบการไหลเวียนของโลหิตในปี 1616 และก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะพบว่า เลือดส่งอาหาร ออกซิเจน และน้ำไปทั่วร่างกายของมนุษย์ พระเจ้าได้กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ เพราะว่าชีวิตของเนื้อหนังอยู่ในเลือด…” (เลวีนิติ17:11) และ 1,700กว่าปีมาแล้ว ก่อนที่แพทย์จะค้นพบว่ามนุษย์เราสามารถให้เลือดแก่ผู้อื่นได้ พระเจ้าเคยตรัสว่า “...มนุษย์สืบสายโลหิตเดียวกัน ”(กิจการ 17:26) ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดก็ตาม สามารถให้เลือดแก่กันและกันได้ ในสมัยก่อนมนุษย์เชื่อว่าโลกนี้แบน แต่พระคัมภีร์กล่าวว่าโลกกลม ซึ่งตรงกับวิทยาศาสตร์และความเป็นจริง (อิสยาห์40:22,สุภาษิต8:2) มีบางศาสนาในสมัยโบราณบอกว่า โลกถูกวางไว้บนหลังเต่าหรือปลาโลมา แต่พระคัมภีร์กล่าวว่า <br />“ พระองค์ทรงคลี่อุดรออกคลุมที่เวิ้งว้างและแขวนโลกไว้เหนือที่ว่างเปล่า ”( โยบ26:7) มีการค้นพบว่าทุกสิ่งกำลังเสื่อม พระเจ้าได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไว้ล่วงหน้าหลายพันปีมาแล้ว<br />( ปฐมกาล3:19) เมื่อหลายปีก่อนนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบความจริงเกี่ยวกับอะตอม พระเจ้าได้กล่าวถึงเรื่องนี้ในพระคัมภีร์ด้วยเช่นกัน( ฮีบรู11:3) สิ่งนี้และอีกหลายๆอย่างในธรรมชาติ ได้แสดงถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่และความรู้อันล้ำเลิศของพระองค์ ซึ่งละเอียดซับซ้อนยิ่งนัก พระคัมภีร์กล่าวว่า “ ถ้าเรารับพยานหลักฐานของมนุษย์ พยานหลักฐานของพระเจ้าก็ยิ่งใหญ่กว่า …” <br />(1ยอห์น5:9) ธรรมชาติและพระคัมภีร์เป็นหลักฐานของพระเจ้า วิทยาศาสตร์ที่แท้จริงแสดงความจริงของพระเจ้าฝ่ายธรรมชาติ พระคัมภีร์แสดงความจริงของพระเจ้าฝ่ายวิญญาณ ถ้าพระคัมภีร์กล่าวถึงวิทยาศาสตร์อย่างถูกต้องแน่นอนแล้ว พระคัมภีร์ก็กล่าวถูกต้องและแน่นอนในฝ่ายจิตวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน พระคัมภีร์ของคริสเตียนเป็นหนังสือที่บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เราต้องเชื่อพระคัมภีร์ เมื่อพระคัมภีร์กล่าวว่า พระเจ้าผู้ประกอบไปด้วยความรัก ความเมตตา ความยุติธรรม และความบริสุทธิ์ วิทยาศาสตร์เป็นความรู้ที่แท้จริง และ “พระเจ้าเป็นเจ้าของความรู้...” ( 1ซามูเอล2:3 ) เราจะต้องระมัดระวังสิ่งที่คนคิดกันว่าเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งบางครั้งมันเป็นวิทยาศาสตร์ที่เท็จ ฉะนั้นให้เราละเว้น “ ...ในความเห็นที่สำคัญผิดว่าเป็นความรู้ ” (1ทิโมธี 6:20 ) ในพระคัมภีร์กล่าวว่า “ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมา เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”<br />(ยอห์น 3:16 )</big>JohnBaptistHenryhttp://www.blogger.com/profile/02868801750545362821noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6362001047782108830.post-16429069400712486672010-12-24T19:24:00.000-08:002011-01-11T23:07:09.991-08:00Ruth<center><b><big><big><big>แผนการของพระเจ้าสำหรับท่าน</big></big></big></b><br /><!-- --><br /> <br /><img src="http://thai.landmarkbiblebaptist.net/Pic/GodLamb1.jpg" height=250width=280alt="THAI TRIBE GIRL"></center><br /><br /><br /><big> เราพลีชีวิตไม่คิดเสียดาย ท่านมีสิ่งใดถวาย<br /> เราทิ้งยศศักดิ์ทั้งหมดศูนย์เปล่า ท่านทิ้งอะไรเพื่อเรา <br /> เพื่อท่านเราทนความอายเหลือกล่าว ท่านทนอะไรเพื่อเรา<br /> เรานำของดีมายื่นแจกจ่าย ท่านยื่นสิ่งใดถวาย<br /> <br /> พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เพราะเรารู้เป้าหมายที่เราคิดไว้ <br /> สำหรับเจ้า เป็นเป้าหมายเพื่อสันติภาพ ไม่ใช่เพื่อความชั่ว เพื่อจะให้อนาคตตามที่คาดหมายไว้แก่เจ้า (เยเรมีย์ 29:11)<br /> หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยพระพรของพระเจ้าจากแผนการของพระองค์ พระเจ้ารักท่าน พระองค์อยากช่วยท่านให้ท่านเติบโตขึ้นในฝ่ายจิตวิญญาณ ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะได้รับพระพรอย่างมากมายหลังจากที่อ่านแล้ว และอาจจะได้เปลี่ยนชีวิตของท่าน ให้ท่านเห็นในฝ่ายวิญญาณมากขึ้น<br /> <br /> ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรท่านให้ท่านเรียนรู้ในแผนการของพระเจ้า ต่อชีวิตของท่าน<br /><br /><br /><b>พระพรจากชีวิตตอนข้าพเจ้ายังเด็ก</b> <br /> และจงให้สันติสุขแห่งพระเจ้าครอบครองอยู่ในใจของท่านทั้งหลาย ในสันติสุขนั้นทรงเรียกท่านทั้งหลายไว้ให้เป็นกายอันเดียวด้วย และท่านทั้งหลายจงขอบพระคุณ(โคโลสี3:15) <br />ในช่วงชีวิตตอนเด็กสิ่งที่เป็นอันตรายในชีวิตของเรานั่นคือ สิ่งที่ ถูกปลูกฝังอยู่ในจิตใจของเรา ข้าพเจ้าจมอยู่ในความคิดที่ต่อว่าพระเจ้า “ทำไมพระเจ้าต้องให้ชีวิตของข้าพเจ้าไม่ดีเลย ทำไมข้าพเจ้าไม่มีพ่อ แม่ ทำไมข้าพเจ้าต้องยากจน ทำไมข้าพเจ้าเหมือนถูกทิ้ง ไม่มีใครสนใจชีวิต” ความคิดเหล่านี้เข้ามาอยู่ในใจตั้งแต่เด็กอยู่เสมอ ถ้าเราไม่คิดใคร่ครวญให้ดี มันจะทำลายเรา ในที่สุดมันมีอิทธิพลต่อชีวิตของเรา ทำให้เราไม่อยากคบใคร เป็นเหตุที่ทำให้เราขาดสันติสุขที่แท้จริง (ฟป4:5-7) ข้าพเจ้าเริ่มรู้ว่ามันเป็นความขมขื่นในชีวิต ในที่สุดมันทำลายเรา ถ้าเราปล่อยให้ความคิดจอมปลอมมันมีอิทธิพลต่อชีวิตของเรา (เยเรมีย์17:9) ในช่วงที่ข้าพเจ้ายังเป็นวัยรุ่นอยู่ ข้าพเจ้าเคยมีความคิดอยากตาย ความขมขื่นทำลายชีวิตได้ด้วย วัยรุ่นบางคนเสียสติไปเพราะไม่ได้พึ่งพระเจ้า ซาตานพยายามทำลายเราในความคิดด้วย (เอเฟซัส6:11-17)<br /> ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ยังให้ข้าพเจ้ามีลมหายใจอยู่ พระองค์ทรงคุ้มครองข้าพเจ้าเสมอ ถึงแม้ข้าพเจ้าไม่ได้อิ่มท้องเหมือนเด็กทั่วไป ข้าพเจ้ายิ่งขอบคุณพระเจ้าที่มีสุขภาพที่แข็งแรง ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าที่ได้เรียนรู้ว่าถึงแม้ในชีวิตของเราไม่มีใคร แต่ยังมีพระเจ้าอยู่ ข้าพเจ้ายิ่งขอบพระคุณพระเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจความหมายของชีวิตมากขึ้น ทุกสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นพระพร และเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าได้หนุนใจผู้ที่ตำหนิพระเจ้า หนุนใจให้คนเหล่านั้นที่คิดว่าตัวเองเดียวดายเหมือนถูกทิ้ง ข้าพเจ้าได้หนุนใจหลายคนที่คิดว่าตัวเองกำพร้าและเก็บความขมขื่นไว้ในใจ<br /> ท่านผู้อ่านเคยมีความคิดแบบข้าพเจ้าไหม? เวลานี้ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทิ้งความคิดเหล่านี้และสวมความคิดแบบพระเจ้า ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงอวยพระพรท่านให้ท่านเติบโตขึ้นในฝ่ายจิตวิญญาณ และพระองค์ทรงจัดเตรียมวางแผนการดำเนินชีวิตของเรา ตั้งแต่เรายังเด็กจนถึงเราชรา ข้าพเจ้าอยากให้ท่านผู้อ่านรู้ว่า “พระเจ้าทรงมีแผนการที่ดีต่อเราทุกคน”<br />“แต่เมื่อเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า ผู้ได้ทรงสรรข้าพเจ้าไว้แต่ครรภ์มารดาของข้าพเจ้า และได้ทรงเรียกข้าพเจ้าโดยพระคุณของพระองค์” (กาลาเทีย 1:15)<br /><br /><b>พระพรในช่วงของการทำงานและการศึกษา </b> <br />“ถ้าท่านรับการทรงชุบให้เป็นขึ้นมาด้วยกันกับพระคริสต์แล้ว ก็จงแสวงหาสิ่งซึ่งอยู่เบื้องบนในที่ซึ่งพระคริสต์ทรงประทับข้างขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงฝังความคิดของท่านไว้กับสิ่งทั้งหลายที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่กับสิ่งทั้งหลายซึ่งอยู่ที่แผ่นดินโลก” (โคโลสี3:1-2) <br />ท่านเป็นคนหนึ่งไหมที่กำลังแสวงหาปัญญาของโลกนี้ และเป้าหมายของท่านในชีวิตนี้คืออะไร? ข้าพเจ้าอยากให้ท่านอ่านจากคำพยานของข้าพเจ้าแล้วท่านจะได้พระพร<br />ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้จากสิ่งต่างๆเหล่านี้ รวมทั้งการงาน และการศึกษา หลายคนตกเป็นทาสของสิ่งเหล่านี้เพราะถูกปลูกฝังจากครอบครัว “โตขึ้นจะได้เป็นจ้าวคนนายคน” การศึกษาเป็นสิ่งที่หลายคนคิดว่าจะเป็นสิ่งที่กำหนด ความก้าวหน้า และความมั่นคงของชีวิต ถ้าไม่มีการศึกษาจะทำอะไรไม่ได้เลย ( 1โครินธ์3:18-20 ) <br /> คริสเตียนหลายท่านกำลังตกอยู่ในความคิดเหล่านี้ รวมทั้งข้าพเจ้าก็เคยคิดเหมือนกัน ที่แท้เรากำลังตกอยู่ในบ่วงของพญามาร บ่วงของหนี้สิน ข้าพเจ้าคิดเมื่อตอนข้าพเจ้ายังเด็กอยู่ โตขึ้นหนูอยากเป็นคุณครู อยากทำงานราชการ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยคิด “โตขึ้นหนูอยากรับใช้พระเจ้า” ท่านผู้อ่านเคยมีความคิดแบบนี้ไหม? ซาตานพยายามให้เราลืมคิดถึงสิ่งสำคัญของพระเจ้า รวมทั้งงานที่สำคัญของพระเจ้า( มัทธิว28:19) ข้าพเจ้าเคยทำงานเป็นครูสอนเด็กโรงเรียนอนุบาล และเคยทำงานองค์การบริหารส่วนตำบล การทำงานเหล่านี้จำเป็นต้องควบคู่กับการศึกษาที่สูงขึ้น เพื่อปรับตำแหน่งงานให้สูงขึ้นด้วย และนั่นทำให้เราห่างจากพระเจ้ามากขึ้น เพราะบางครั้งเราต้องขาดการนมัสการที่โบสถ์ด้วย (ฮีบรู10:25) <br />(สุภาษิต23:4) เวลาของเราเริ่มห่างจากพระเจ้า เราเริ่มไม่มีเวลาอ่านพระคัมภีร์ เพราะทำงานก็เหนื่อยแล้ว บางคนเหนื่อยในการเรียนที่สูงขึ้นด้วย และเริ่มไม่มีเวลาให้กับครอบครัว เราเริ่มใช้ชีวิตที่เจาะอยู่กับโลกนี้ซึ่งอนิจจัง(โรม8:5-9) “เพราะว่าคนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนังก็ปักใจในสิ่งซึ่งเป็นของเนื้อหนัง แต่คนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายวิญญาณก็ปักใจในสิ่งซึ่งเป็นของวิญญาณ ด้วยว่าซึ่งปักใจอยู่กับเนื้อหนังก็คือความตายและซึ่งปักใจอยู่กับพระวิญญาณก็คือชีวิตและสันติสุข” เราเริ่มไม่สนใจในสิ่งฝ่ายวิญญาณซึ่งนิจนิรันดร์ และเรากำลังมีนายสองนาย (มธ.6:24) ทำให้รับใช้พระเจ้าไม่เกิดผล(กาลาเทีย 5:16-17)<br /><br />ข้าพเจ้ายังไม่รู้ถึงการที่จะรับใช้พระเจ้าเพราะการงานกับการเรียนของโลกนี้บังตาข้าพเจ้าอยู่ นึกๆไปข้าพเจ้าเป็นเหมือนบุตรน้อยที่อยากมีชีวิตที่สำราญในโลก(ลูกา15:11-24) ที่เอาแต่ใจตัวเอง แต่พระเจ้าก็ยังรักเรา และพระองค์ให้อภัยเราเสมอ พระองค์ยังรอคอยเรา พระองค์รอเรา เมื่อเราเริ่มสำนึกได้ว่าทำให้พระองค์(พ่อ) เสียใจ เวลานี้ยังไม่สาย ถ้า เราทั้งหลายเป็นลูกของพระเจ้า จริงๆแล้วเราควรใช้ชีวิตอยู่เพื่อช่วยงานของพ่อเรา(พระเจ้า) แต่บ่อยครั้งคริสเตียนหลายคนเป็นเหมือนบุตรน้อยที่ไม่อยากช่วยงานพ่อแต่กลับอยากใช้ชีวิตตามใจตนเอง อยากมีชีวิตที่สำราญในโลก ดูเหมือนบุตรน้อยเบื่อในการงานที่ช่วยพ่อแต่สุดท้ายบุตรน้อยกลับใจ กลับมาหาพ่อ(เพราะซัดเซพเนจรไม่มีใครเป็นเพื่อน ได้กินเศษอาหารของหมูเพื่อประทังชีวิต) กลับบ้านของตัวเองกลับมาอยู่ในครอบครัวของตัวเองด้วยใจสำนึกผิด ข้าพเจ้าอยากให้ท่านรู้ว่าพระเจ้ายังรักเรา ทั้งๆที่เราทำผิด(1ยน.1:9 )ถ้าเราสารภาพ บาปของเราพระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น พระองค์ทรงยกโทษให้เรา พระองค์รอเรา เหมือนพ่อที่รอคอยลูก เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ยังไม่สาย ตลอดที่ลมหายใจของเรายังมีอยู่ เรายังมีเวลาสะสมบำเหน็จ<br /> <br /> “เจ้าจะเพ่งตาของเจ้าอยู่ที่ของอนิจจังหรือ เพราะทรัพย์สมบัติมีปีกแน่นอนทีเดียวมันจะบินไปในท้องฟ้าเหมือนนกอินทรี” (สุภาษิต23 :5) <br /> ข้อพระคัมภีร์เพิ่มเติม( กิจการ3: 19 , 3:26 โรม14: 8, 1โครินธ์10: 23, ฟิลิปปี 3 :20-21 )<br /> <img src=" http://thai.landmarkbiblebaptist.net/Pic/Olld-Man-Computer.gif" height=95 width=106alt=><br /><b>พระพรหลังจากที่กลับใจและถวายตัวรับใช้พระเจ้า</b> <br /><br />โรม12:1 “พี่น้องทั้งหลายด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต อันบริสุทธิ์ และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการปรนนิบัติอันสมควรของท่านทั้งหลาย”<br /> <br />เมื่อข้าพเจ้าเห็นความเป็นและความตายอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าพระเจ้าเริ่มไม่พอพระทัยข้าพเจ้าแล้ว(สุภาษิต20:24)ข้าพเจ้ายังช้าในการตัดสินใจ เมื่อพระเจ้าให้ข้าพเจ้าตาสว่างขึ้น ข้าพเจ้าเริ่มรู้แล้วว่า ถ้าข้าพเจ้าได้สิ่งของเงินทอง,งานหรือทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของข้าพเจ้า จะได้ประโยชน์อะไร (มัทธิว16:25-26)<br /> <br /> “ เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตของตนรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตของตน เพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องสูญเสียจิตวิญญาณของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร หรือผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาจิตวิญญาณของตนกลับคืนมา ”<br /><br />เมื่อวันที่ 12 พย. 2006 เวลา 20.30น. ข้าพเจ้าอธิษฐานขอถวายตัวให้กับพระเจ้า ข้าพเจ้าตัดสินใจยื่นใบลาออกงานราชการ แถมมีหนี้สินจากการเรียนเพิ่มประมาณ 20,000 บาทและหันหลังให้กับสิ่งเหล่านี้ ยอมทำตามพระเจ้า มอบภาระหนี้สินให้กับพระเจ้า(สุภาษิต3: 5-7) เดินตามที่พระเจ้าบอกแล้วเริ่มชีวิตใหม่ ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้า ภาระทุกอย่างพระเจ้าจัดการให้ข้าพเจ้าหมด หนี้สินค่อยๆลดลงทุกเดือน ตอนนั้นข้าพเจ้ายังไม่มีเงินเดือนเลย และที่สำคัญพระเจ้าเลี้ยงดูข้าพเจ้าตลอด (เยเรมีย์17: 7- 8) ข้าพเจ้ามีใจรับใช้พระเจ้าแต่ข้าพเจ้าไม่มีเงินเดือนในการรับใช้ ข้าพเจ้าอธิษฐานของานธุรกิจกับพระเจ้า(สุภาษิต16: 3สุภาษิต19:21 สดุดี37:3-5) เริ่มจาก 200 บาท พระเจ้าทรงอวยพระพรให้ข้าพเจ้ามีเพิ่มทวีมากขึ้น อีกสิ่งหนึ่งข้าพเจ้ายืมจักรยานของน้ามาใช้ระหว่างทำธุรกิจเป็นเวลาหนึ่งปีกว่า ข้าพเจ้าอธิษฐานกับพระเจ้าขอรถจักรยานยนต์สักคัน พระเจ้าก็ตอบคำอธิษฐาน ข้าพเจ้าก็ได้สมดังหวังจริงๆ ข้าพเจ้ามีหลายสิ่งที่พระเจ้าทรงอวยพระพร ข้าพเจ้า อยากหนุนใจให้กับผู้ที่อยากจะรับใช้พระเจ้า ว่า พระเจ้ารู้ทุกสิ่งที่เราต้องการ กาลาเทีย 6: 7-8 พระคัมภีร์ข้อนี้ได้หนุนใจข้าพเจ้ารู้ว่า ข้าพเจ้าควรทำงานให้กับพระเจ้ามากกว่างานในโลก ข้าพเจ้ารู้ว่าพระเจ้าอยากให้ทุกคนสนใจในสิ่งฝ่ายวิญญาณ และพระองค์อยากให้คริสเตียนทุกคนได้รับบำเหน็จ เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าอยากให้ท่านผู้อ่านวิ่งแข่งเพื่อได้รับชัยชนะทุกคน (1โครินธ์9:23-26)<br /> <br />ข้อพระคำเพิ่มเติม (1โครินธ์1:26-28 , 2ทิโมธี2:1,2ทิโมธี2:15 )<br /><img src=" http://thai.landmarkbiblebaptist.net/Pic/Part%207.gif" height=95 width=106alt=><br /><br /><b>ใครบ้างคือผู้รับใช้ของพระเจ้า</b><br />ฟิลิปปี1:29 เพราะว่าได้ทรงโปรดแก่ท่าน เพราะเห็นแก่พระคริสต์มิใช่ให้ท่านเชื่อถือในพระองค์เท่านั้น แต่ให้ท่านทนความทุกข์ยากเพราะเห็นแก่พระองค์ด้วย <br /> ข้าพเจ้าเคยคิดผิดว่าการรับใช้พระเจ้าต้องถวายตัวให้กับพระเจ้าเต็มเวลา แต่ตอนนี้ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าการรับใช้พระเจ้าคืองานอะไรก็ได้ที่เราสามารถทำได้ เพราะพระเจ้าให้เรามีความสามารถที่แตกต่างกัน (1โครินธ์ 12:5-7)เพื่องานของพระเจ้าจะได้สำเร็จ ในเวลาที่เราอยู่ที่ไหน ณ สถานที่ใด เราสามารถรับใช้พระเจ้าได้ เช่น มีใบปลิวอยู่ในกระเป๋าและนั่งรถโดยสารอยู่ถ้าเราไม่กล้าพูดอะไรกับเขาแต่เรายื่นใบปลิวให้เขา ก็เป็นการรับใช้พระเจ้าแล้ว บางท่านเล่นดนตรีได้ บางท่านทำอาหารอร่อย บางท่านชอบทำความสะอาด บางท่านชอบดูแลเด็กๆ บางท่านชอบต้อนรับแขก ทุกสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นการรับใช้พระเจ้าทั้งนั้น และทุกอย่างที่เราทำนั้นพระเจ้าจดไว้ในหนังสือของพระองค์(1โครินธ์3: 6-9 ) และทุกท่านคือผู้รับใช้ของพระเจ้า(1เปโตร2:9 ) เป็นทูตของพระเจ้า ( 2โครินธิ์5:20 ) <br /><br /><b> พระพรจากชีวิตของโยบ</b><br />มีคริสเตียนหลายคนคิดว่า“ทำไมความทุกข์ยากเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นแก่ฉันด้วย” ข้าพเจ้าอ่านในโยบได้รับพระพรมาก โยบเป็นแบบอย่างให้กับคริสเตียนที่เริ่มท้อแท้ หมดเรี่ยวแรงที่จะดำเนินชีวิตต่อไป คริสเตียนหลายคนรวมทั้งข้าพเจ้าด้วยเคยหมดเรี่ยวแรง ไม่มีกำลังใจ และไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ถ้าเราได้ศึกษาชีวิตของโยบแล้ว จะได้กำลังและพระพรอย่างมากมาย <br /><br /><b>การทดลองที่เกิดขึ้นใครเป็นผู้อนุญาตให้เกิด</b> <br />(โยบ1:6-12) โยบรักพระเจ้าและซาตานอยากทดสอบความเชื่อของโยบ พระเจ้าอนุญาตให้ซาตานทดลองได้ แต่พระเจ้าไม่อนุญาตให้แตะต้องชีวิตของโยบ นี่เป็นเหตุให้เราได้คิด ถ้าพระเจ้าไม่อนุญาตให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ซาตานก็ทำอะไรไม่ได้ เหมือนกัน สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราแปลว่าพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น ฉะนั้นถ้าเราจะมีชีวิตอยู่ หรือไม่มี ขึ้นอยู่กับพระเจ้าเท่านั้น<br /><br /><b>การทดลองเกิดขึ้นเพื่ออะไร ?</b><br />พระเจ้ารักเรามาก พระองค์อนุญาตให้สิ่งต่างๆเช่นปัญหาต่างๆ ความทุกข์ใจ ความเจ็บไข้โรคต่างๆ รวมทั้งความตาย เกิดขึ้นแก่เรา เพื่อทดสอบความเชื่อของเรา เหมือนโยบ เพราะพระเจ้ารู้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นโยบก็ยังรักพระเจ้าอยู่(โยบ1:21)<br />และเรามามองดูชีวิตของเรา พระเจ้าให้การทดสอบนี้เพื่อให้เรายึดมั่นในพระเจ้า ไม่ใช่ต่อว่าพระเจ้า พระเจ้าเป็นเจ้าของทุกสิ่ง พระองค์มีสิทธิที่จะเอาไปหรือมีสิทธิที่จะให้เรา ใน1ธสก.5:18 บอกว่า “จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ เพื่อท่านทั้งหลาย ”ท่านได้ขอบพระคุณสำหรับสิ่งที่ไม่ดีบ้างหรือยัง? ที่พระเจ้าอนุญาตให้บางอย่างเกิดขึ้นแก่เรา พระองค์จะทรงเปลี่ยนชีวิตของเรา เพื่อเราจะได้เป็นภาชนะที่ใช้ได้( 1ธสก.4:3-4) พระเจ้าอยากให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น(ยากอบ2 :22) บางท่านถูกพระเจ้าตีสอน ก็เพื่อให้เขากลับใจเพื่อเขาจะได้สะอาดขึ้นภายใน (สุภาษิต20:30)ถ้าพระเจ้าตีสอนเรานั่นหมายความว่าพระองค์ทรงรักเรา(ฮีบรู12 :5-6 ) ถ้าไม่จำเป็นจริงๆพระเจ้าไม่อยากให้เราถึงขั้น <b> กลับบ้าน(ตาย)</b> และพระองค์ยังทรงมีแผนการที่ดีต่อชีวิตของท่าน พระองค์จะทรงอยู่เคียงข้างท่านเมื่อท่านเลือกทางดำเนินชีวิตที่ผิด พระองค์จะชี้แนะผ่านผู้รับใช้หรือผ่านทางเพื่อนคริสเตียนที่เข้มแข็ง หรือผ่านทางพระคัมภีร์ พระองค์จะทรงตามหาท่านเมื่อท่านหลงทางไป ( ยอห์น10:7-18 )<br /><br /><b>สิ่งที่ได้รับหลังจากผ่านการทดลอง</b><br />ในความรอดนั้นท่านทั้งหลายชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้จำเป็นที่ท่านจะต้องเป็นทุกข์ใจชั่วขณะหนึ่งด้วยการถูกทดลองต่างๆ เพื่อการลองดูความเชื่อของท่าน อันประเสริฐ์ยิ่งกว่าทองคำ ซึ่งพินาศไปได้ ถึงแม้ว่าความเชื่อนั้นถูกลองด้วยไฟ จะได้เป็นเหตุให้เกิดความสรรเสริญ เกิดเกียติและสง่าราศี ในเวลาที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาปรากฎ<br />เมื่อโยบได้ผ่านการทดสอบจากพระเจ้า โยบได้รับพระพรอย่างมากมาย (โยบ42:12-17)โยบได้ความเข้มแข็งในพระเจ้ามากขึ้น และได้ความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้น<br /> <br />ข้าพเจ้าอยากให้ผู้ที่อ่อนกำลังและท้อแท้กับปัญหาที่เกิดขึ้น โปรดมองดูชีวิตของโยบ การทดลองครั้งแรกของโยบ โยบได้สูญเสียสัตว์เลี้ยง คนใช้ชายหญิง สิ่งเหล่านี้ยังไม่เท่ากับการที่โยบสูญเสียลูกๆที่โยบรัก(โยบ1:18-19)เราเคยได้รับแบบโยบไหม? และการทดลองครั้งที่สองของโยบ(โยบ2:4-6) โยบเป็นฝีร้ายตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงกระหม่อมที่ศีรษะโยบทรมาณที่สุด และความทุกข์ระทมของโยบก็ใหญ่ยิ่งนัก ในขณะที่โยบเป็นฝีร้ายโยบก็ยังขอบคุณพระเจ้าสิ่งที่โยบ ตอบให้กับภรรยาในขณะที่ภรรยาบอกให้โยบแช่งด่าพระเจ้า โยบ ตอบภรรยาว่า“เธอพูดอย่างหญิงโฉดจะพึงพูด อะไรกันเราจะรับสิ่งดีจากพระหัตถ์ของพระเจ้า และจะไม่รับของชั่วบ้างหรือ”นอกจากภรรยาไม่ให้กำลังใจโยบแล้ว เพื่อนๆโยบก็ต่อว่าให้โยบด้วย โยบก็ยังมั่นคงในความเชื่อ แม้ว่าโยบอาจจะท้อใจและไม่เข้าใจพระเจ้า โยบได้สารภาพความผิดต่อพระเจ้า(โยบ42:1-6)โยบได้รู้แล้วว่า“พระเจ้าทรงกระทำทุกสิ่งได้”พระเจ้าทรงอวยพรโยบในชีวิตบั้นปลายมากยิ่งกว่าเบื้องต้นได้ทรัพย์สมบัติ คนใช้ชายหญิง สัตว์เลี้ยง รวมทั้งได้บุตรชายบุตรหญิงที่ไม่มีหญิงใดงามเท่าบุตรหญิงของโยบ<br /> โยบไม่ได้ทำอะไรผิดในสายตาของพระเจ้า และโยบชอบธรรมในสายตาของพระเจ้าด้วย ซาตานเป็นเจ้าของโลกในตอนนี้(เอเฟซัส6:12,2:2 ) มันอยากทดลองโยบ จึงไปขออนุญาตจากพระเจ้าก่อน และพระเจ้าทรงอนุญาตให้โยบเข้าสู่การทดลองและโยบผ่านด้วยความสัตย์ซื่อและพระเจ้าทรงอวยพระพรแก่โยบในตอนท้าย<br /><br /><b>ท่านทราบหรือไม่การทดลองและการตีสอนจากพระเจ้านั้นแตกต่างกัน</b><br />มีคริสเตียนหลายท่านยังแยกไม่ได้ว่าสิ่งไหนคือการทดลองสิ่งไหนคือการตีสอนจากพระเจ้า การทดลองจากพระเจ้าเป็นแบบโยบ โยบชอบธรรมเพียงแต่พระเจ้าอนุญาตให้เข้าสู่การทดลองที่ใหญ่ยิ่ง แต่ไม่ถึงกับเสียชีวิต พระเจ้ารู้แล้วว่าโยบสัตย์ซื่อ รู้ก่อนที่โยบยังไม่เข้าสู่การทดลอง พระเจ้าทรงเป็นผู้สัพพัญญู พระองค์ทรงรู้ถึงอนาคตของโยบ เพื่อนๆของโยบยังแยกไม่ได้ว่าสิ่งไหนคือการทดลองจากพระเจ้าและสิ่งไหนคือการตีสอน ข้าพเจ้าเชื่อว่ามีหลายท่านเคยเข้าสู่การทดลองจากพระเจ้าโดยเฉพาะผู้ที่ยึดมั่นอยู่ในพระเจ้าเช่นโยบ การทดลองจะเข้าสู่ผู้รับใช้ระดับผู้นำในคริสตจักรด้วย เรารู้อยู่แล้วว่าซาตานคือผู้ขัดขวางงานของพระเจ้า มันอยากทำลายงานของพระเจ้าและมันอยากให้คริสเตียนอ่อนแอและไม่อยากต่อสู้ต่อไปเพื่อรับบำเหน็จ การตีสอนจากพระเจ้านั้นเพราะพระองค์รักเราพระองค์จะตีสอนเราเพื่อเราจะได้เป็นคนที่ดีขึ้น( เหมือนพ่อตีสอนลูกฮีบรู12: 5-6 ) ทุกครั้งเมื่อเราทำผิดพระองค์จะทรงชี้แนะเราผ่านทางการตีสอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ เราอาจจะทำบาปที่พลั้งเผลอหรือเราอาจจะตั้งใจทำบาป ทุกๆสิ่งเหล่านี้พระเจ้าไม่เคยเว้นแม้แต่นิดเดียว 1เปโตร 3: 13 ถ้าท่านทั้งหลายใฝ่ใจประพฤติความดี ใครผู้ใดจะทำร้ายท่านได้(ยากอบ5:10-11)<br /><br /><b>สาเหตุอะไรบ้างที่พระเจ้าตีสอนเรา</b><br /><br />ฮีบรู12:5-6 และท่านได้<u>ลืมคำเตือน</u>นั้นเสียซึ่งได้เตือนท่านเหมือนกับเตือนบุตรว่า บุตรชายของเราเอ๋ยอย่าดูหมิ่นการตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า และอย่าระอาใจเมื่อพระองค์ทรงติเตียนท่านนั้น เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก และเมื่อพระองค์ทรงรับผู้ใดเป็นบุตร พระองค์ก็ทรงเฆี่ยนตีผู้นั้น<br />สุภาษิต13:13 บุคคล<u>ผู้ดูหมิ่นพระวจนะจะถูกทำลาย</u> แต่บุคคลผู้เกรงกลัวพระราชบัญญัติจะได้รับบำเหน็จ<br />สุภาษิต13:15 ความเข้าใจที่ดีก็ได้รับความโปรดปราน แต่หนทางของ<u>คนละเมิดก็ยากนัก</u><br />สุภาษิต14:27 ความยำเกรงพระเยโฮวาห์เป็นน้ำพุแห่งชีวิต เพื่อผู้หนึ่งผู้ใดจะหลีกจากบ่วงของความมรณาได้<br />สุภาษิต15:10 <u>ผู้ที่ทอดทิ้งทางดีนับว่าการทำโทษเป็นสิ่งที่หนักใจ</u> บุคคล<u>ผู้เกลียดคำเตือนสติจะตายเปล่า</u><br />ฮีบรู10:38 แต่คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่ในความเชื่อ แต่ถ้า<u>ผู้ใดเสื่อมถอย </u>ใจของเราจะไม่มีความพอใจในคนนั้นเลย<br /> ข้อพระคัมภีร์ที่ยกเป็นตัวอย่างเหล่านี้ เป็นเหตุที่ทำให้เราถูกพระเจ้าตีสอน ยังมีอีกหลายสาเหตุที่อยู่ในพระคำของพระเจ้า ข้าพเจ้าได้รับภาระใจพิเศษจากพระเจ้านั่นคือ ท่านได้พิจารณาตนเองหรือยัง? <br /><br /><b>พิจารณาตนเอง EXAMINE YOURSELF</b><br />โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนกินมหาสนิท( 1โครินธ์11:27-28 ) เราชอบพิจารณาผู้อื่นเสมอ เราไม่ชอบดูตัวเราเองว่าเป็นคนอย่างไร เราชอบตำหนิผู้อื่นจนลืมตำหนิตัวเอง( มัทธิว7:3-5) ข้าพเจ้าก็เป็นคนหนึ่งที่เคยทำบาปอันนี้ เมื่อข้าพเจ้าไม่ได้ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าเชื่อว่ามีหลายท่านที่เคยพลาดในจุดนี้ และเป็นสิ่งที่คริสเตียนชอบทำบาปอันนี้มากที่สุด แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าถ้าท่านประกอบด้วยพระ<br />วิญญาณบริสุทธิ์ ท่านจะรู้สึกเสียใจที่ตัวเราชอบตำหนิผู้อื่น แต่ถ้าเราไม่รู้สึกเสียใจเลย และชอบทำเรื่อยๆ และไม่ได้สารภาพกับพระเจ้า แหละนั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ถูกพระเจ้าตีสอนด้วย เมื่อเรารู้ว่าเราทำให้พระเจ้าเสียใจแล้วเราควรทำยังไร<br /><br /><b>ทูลขอพระเจ้า ASK GOD</b> <br />มัทธิว7: 7-8 มันเป็นสิ่งที่ยากมากที่เราจะพิจารณาตัวเราเอง แต่ไม่ยากสำหรับพระเจ้าถ้าเราทูลขอพระเจ้าเพื่อช่วยเราที่จะเปลี่ยนตัวเอง ไม่ใช่พยายามเปลี่ยนผู้อื่น ข้าพเจ้าอยากให้ทุกท่านส่องกระจกทุกๆวัน( อ่านพระคัมภีร์) เพื่อเราจะได้เห็นสิ่งผิดปกติของเรา อีกประการหนึ่งพระเจ้าอยากให้เราถ่อมใจมากกว่าการหยิ่งผยองในความดีของตัวเอง ( 2โครินธ์10:17-18 ) เพราะพระเจ้าต่างหากเป็นผู้ที่ทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น (ทิตัส3: 5)ไม่ใช่เราเป็นคนทำ เมื่อเราพิจารณาตัวเรา ทูลขอพระเจ้า และเห็นสิ่งที่ผิดปกติ เราควรจะทำอย่างไรต่อไป<br /><br /><b>สารภาพบาป CONFESS OUR SINS</b><br />เมื่อเราได้อ่านพระคำของพระเจ้า เราจะเห็นสิ่งที่ผิดปกติในตัวเรา และเมื่อเรารู้แล้วว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัยในชีวิตของเรา เราควรสารภาพกับพระองค์อย่างจริงใจ(1ยน 1:9) และพระเจ้าต้องการให้เราทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ และเมื่อเราดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระองค์แล้ว ท่านจะมีชีวิตที่มีสันติสุข ไม่ต้องคอยกลัวการตีสอนจากพระเจ้าอีก และเท่านั้นไม่พอท่านยิ่งจะได้พระพรซ้อนพระพรจากพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงนำหน้าการดำเนินชีวิตของท่าน และเมื่อท่านสารภาพความผิดบาปต่อพระเจ้าแล้ว ท่านจะประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์<br /><br /><b>การประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ BE FILLED WITH THE SPIRIT </b><br />“พระองค์ได้ทรงช่วยเราให้รอด มิใช่ด้วยการกระทำที่ชอบธรรมของเราเอง แต่พระองค์ทรงพระกรุณาชำระให้เรามีใจบังเกิดใหม่ และทรงสร้างเราขึ้นมาใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ”ทิตัส 3:5<br /> เมื่อท่านประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านจะแยกแยะสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้( 2ทิโมธี2:15 ) เมื่อท่านประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านจะรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งที่ทำบาป และท่านจะชนะความบาปโดยพึ่งพระเจ้า ( ยอห์น3: 20-21)<br />และท่านไม่ต้องกินน้ำนมต่อไป ( โรม15:13-14 ) แต่ท่านกำลังถูกพระเจ้าสร้างท่านให้เติบโตขึ้นในฝ่ายจิตวิญญาณ และท่านจะไม่เป็นคนที่รับการปลอบประโลมใจจากคนอื่นแล้ว เพราะท่านกำลังปลอบประโลมใจผู้อื่น (2โครินธิ์1:3-4 ) นอกจากนั้นท่านจะมีใจที่อยากขวนขวายกระทำการดี และอยากทำตามสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย และมีอีกสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้รับภาระใจจากพระเจ้า นั่นคือ การบังเกิดใหม่ในฝ่ายจิตวิญญาณ ท่านบังเกิดใหม่ในฝ่ายวิญญาณหรือยัง?<br /><br /><b>คุณต้องบังเกิดใหม่อีกครั้ง YOU MUST BE BORN AGAIN</b><br />ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้า ผู้นั้นไม่กระทำบาป เพราะเมล็ดของพระองค์ดำรงอยู่ในผู้นั้น และเขากระทำบาปไม่ได้ เพราะเขาบังเกิดจากพระเจ้า 1ยอห์น3:9 <br /><br />“แต่บัดนี้ข้าพเจ้ามีความชื่นชมยินดี มิใช่เพราะท่านเสียใจ แต่เพราะความเสียใจนั้น ทำให้ท่านกลับใจใหม่ เพราะว่าท่านได้รับความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า ท่านจึงไม่ได้ผลร้ายจากเราเลย เพราะว่าความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้าย่อมกระทำให้กลับใจใหม่ ซึ่งนำไปถึงความรอดและไม่เป็นที่น่าเสียใจ แต่ความเสียใจอย่างโลกนั้นย่อมนำไปถึงความตาย จงพิจารณาดูว่า ความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้ากระทำให้เกิดความกระตือรือร้นมากทีเดียว ทำให้เกิดความขวนขวายที่จะแก้ตัวใหม่ และการโกรธแทน ความกลัว ความปรารถนาอย่างยิ่ง ความกระตือรือร้น การแก้แค้น ในทุกสิ่งเหล่านั้น ท่านได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ท่านก็หมดจดในการนี้แล้ว” (2โครินธ์7:9-11) <br /><br /><b> ผู้ใดกล่าวว่าตนอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นก็ควรดำเนินตามทางที่พระองค์ทรงดำเนินนั้นด้วย (1ยน 3:6)</b><br /> มีคริสเตียนหลายท่านพูดว่า เราเชื่อพระเยซู แต่ข้าพเจ้าว่าใครๆก็พูดได้ว่าเชื่อพระเยซู ถ้าเราเชื่อในพระเยซูอย่างแท้จริง การดำเนินชีวิตของเราก็ต้องดำเนินตามแบบพระเยซูด้วย และยังมีผู้ที่บอกว่าเชื่อพระเยซูแล้ว แต่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่เลย ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่าง มีผู้หนึ่งบอกว่าฉันเชื่อพระเยซูแล้ว แต่การดำเนินชีวิตไม่ได้เป็นแบบพระเยซูเลย กินเหล้า เที่ยวผับ เที่ยวบาร์ติดการพนันอยู่ ข้าพเจ้าว่าผู้นั้นยังไม่ได้บังเกิดใหม่ในฝ่ายวิญญาณอย่างแท้จริง เมื่อท่านได้ต้อนรับพระเยซูเข้ามาอยู่ในใจ ท่านจะถูกการเปลี่ยนแปลงใหม่ ถูกสร้างใหม่ตามแบบของพระเจ้า ชีวิตของท่านจะค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ(1เปโตร4:1-4) สำหรับผู้ที่ติดเหล้า หรือบุหรี่ พระเจ้าจะเปลี่ยนท่านให้ดีขึ้น ทุกสิ่งที่ไม่ดีของท่านจะค่อยๆลดลง แล้วท่านจะได้รับชัยชนะโดยพึ่งพระเจ้า ( ทิตัส3:5 ) ทุกๆสิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลา ขึ้นอยู่กับท่านและพระเจ้า พระเจ้าจะดูท่าทีของท่านว่า ท่านอยากเปลี่ยนแปลงไหม หรือท่านยังรักความบาปของท่านอยู่ ถ้าท่านบังเกิดใหม่อย่างแท้จริงท่านจะรู้สึกแบบพระเจ้า(1เปโตร1:23) พระเจ้าเกลียดความบาป พระเจ้ามีความรัก โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่รอด พระเจ้าเป็นห่วงคนที่ยังไม่รอดอย่างมาก พระองค์อยากใช้ท่านให้ท่านประกาศข่าวประเสริฐแก่ผู้ที่ยังไม่เชื่อ ถ้าท่านมีพระเจ้าอย่างแท้จริงท่านจะรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งที่ทำบาป และท่านอยากจะชนะเหนือความบาปนั้น อดีตข้าพเจ้า เติบโตขึ้นในครอบครัวคริสเตียน แต่ข้าพเจ้ายังไม่ได้บังเกิดใหม่ ข้าพเจ้าเคยใช้ชีวิตเหมือนชาวโลก และเคยทำบาปโดยไม่รู้สึกเสียใจ(รักความบาป) ข้าพเจ้าอยากถามท่านว่า ท่านแน่ใจว่าได้บังเกิดใหม่แล้วหรือยัง? ท่านได้ดำเนินชีวิตสมกับเป็นลูกของพระเจ้าแล้วหรือยัง? ถ้าท่านมีความรู้สึกแบบคำถามนี้แปลว่าท่านได้บังเกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณแล้ว เพราะท่านกำลังมีผลของฝ่ายวิญญาณ(กาลาเทีย5:22) และควบคู่ไปกับความเชื่อคือการขวนขวายกระทำการดี <br />“ เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าที่นำไปถึงความรอด ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว สอนให้เราละทิ้งความอธรรมและโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ อย่างชอบธรรม และตามทางพระเจ้า คอยความหวังอันมีสุขและการปรากฏอันทรงสง่าราศีของพระเจ้าใหญ่ยิ่ง และพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ได้ทรงโปรดประทานพระองค์เองให้เรา เพื่อไถ่เราให้พ้นจากความชั่วช้าทุกอย่าง และทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ เพื่อให้เป็นหมู่ชนพิเศษเฉพาะของพระองค์ และเป็นคนที่ขวนขวายกระทำการดี” <br /> ( ทิตัส2:11-14) <br /> และท่านอยากจะมีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้พระเจ้า เพราะพระองค์จะใส่ภาระใจของพระองค์ในตัวท่าน และท่านจะมีใจที่ร้อนรนในการรับใช้ และมีใจขวนขวายกระทำการดี และรักษาใจให้บริสุทธิ์ผ่านการสารภาพกับพระเจ้าทุกวัน(1เปโตร1:15) และรอคอยการเสด็จกลับมาของพระเยซูด้วยใจจดใจจ่อ ( 1เปโตร4:7 ) ท่านพร้อมหรือยัง ถ้าพระเยซูจะมาในเร็วๆนี้? ท่านตื่น หรือหลับอยู่? ข้าพเจ้าอยากบอกทุกๆท่านว่าวันเวลาของพระองค์ใกล้เข้ามาแล้ว เพราะเราดูจากสถานกราณ์ของโลกในตอนนี้ ไม่ว่าน้ำท่วมที่รุนแรงที่ต่างประเทศ มีแผ่นดินไหวที่ติดต่อกัน มีคนตายมากมายจากเหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้ และยังมีผู้คนอีกมากมายที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นห่วงดวงวิญญาณของคนเหล่านั้นไหม? <br /><br /><b>ความสัตย์ซื่อของโยเซพ</b><br />ข้าพเจ้าได้พระพรจากชีวิตของโยเซพ และอยากให้เป็นพระพรแก่ท่านผู้อ่าน เพื่อท่านจะได้รับกำลังในการดำเนินชีวิตของท่าน ปฐมกาลบทที่37 โยเซพเป็นคนหนึ่งที่มีบทบาทในพระคัมภีร์ในการดำเนินชีวิตที่ดี และเราสามารถนำมาใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตของเราได้ พระเจ้าทรงมีแผนการที่ดีต่อครอบครัวของโยเซพ เป็นคำถามมากมายสำหรับคริสเตียนหลายท่านว่า ทำไมสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นแก่โยเซพ แต่ข้าพเจ้าว่านั่นเป็นแผนการของพระเจ้าต่อเหตุการณ์ต่างๆซึ่งเราไม่สามารถจะอธิบายถึงพระปัญญาอันล้ำเลิศของพระเจ้า ทำไมพี่ชายของโยเซพต้องขายโยเซพให้ไปเป็นทาสในอียีปต์ เพราะพระองค์รู้ว่าจะเกิดการกันดารอาหาร ข้าพเจ้าใคร่ครวญดูในชีวิตของโยเซพ โยเซพสัตย์ซื่อและเป็นคนดีและโยเซพรักพระเจ้า พึ่งพระเจ้าด้วย เมื่อโยเซพเป็นทาสของโปทิฟาร์ โยเซพถูกภรรยาของโปทิฟาร์ใส่ร้ายทั้งๆที่โยเซพไม่ได้ทำผิดเลย และนั่นก็เป็นแผนการของพระเจ้าเพื่อให้โยเซพได้สิ่งที่ดีกว่า ในชีวิตเบื้องต้นของโยเซพก็ไม่แตกต่างจากโยบเพราะความทุกข์นั้นก็พอๆกัน แต่คนละแบบเริ่มต้นถูกขายเป็นทาส และถูกใส่ร้ายได้ติดคดีไปอยู่ในคุก ในขณะที่อยู่ในคุกโยเซพก็ยังสัตย์ซื่อ พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่การงานของโยเซพ (39:21-23) แล้วมีพนักงานของกษัตริย์ต้องเข้ามาอยู่ในคุกด้วย และนั่นก็เป็นแผนการของพระเจ้า ซึ่งโยเซพก็ได้ทำนายฝันให้เขาทั้งสอง และความฝันนั้นทำให้โยเซพได้ทำนายฝันให้กษัตริย์ด้วย พระเจ้าสถิตอยู่กับโยเซพไม่ว่าจะอยู่ในคุก ไม่ว่าเป็นทาส พระเจ้าทรงอวยพระพรในการงานที่ทำ และจากเป็นทาสรับใช้ที่ต่ำต้อย และเป็นนักโทษ ก็ได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์ให้ดูแลทั่วประเทศเป็นตำแหน่งที่สูงมาก เมื่อข้าพเจ้าใคร่ครวญดูจากชีวิตของโยบและโยเซฟ คล้ายๆกัน ท่านทั้งสองต้องทนทุกข์กับปัญหาต่างๆ และการทดลองต่างๆ และเมื่อผ่านกับปัญหาต่างๆเหล่านั้นด้วยความสัตย์ซื่อในพระเจ้า ยึดมั่นในพระเจ้า พระเจ้าทรงอวยพระพรในชีวิตบั้นปลายเหมือนกัน โยบได้ทุกสิ่งกลับคืนมาเป็นสองเท่า โยเซพได้เกียติยศ ความมั่งคั่ง และนั่นทำให้เราได้พระพรว่า ถ้าท่านอดทน และผ่านการทดลองต่างๆพระเจ้าจะทรงอวยพระพรท่านทวีมากขึ้น เหมือนโยเซพและโยบ เช่นกัน <br /> <br />ในตอนท้ายนี้ข้าพเจ้าหวังว่าทุกๆท่านได้รับพระพรหลังจากที่อ่านแล้ว หนังสือเล่มนี้เป็นภาระใจพิเศษจากพระเจ้า ซึ่งทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เป็นพยานนั้นเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าจริง และเมื่อข้าพเจ้าได้มาคิดใคร่ครวญชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงรู้ว่าพระเจ้าทรงรักเราอย่างมากมาย และพระองค์ทรงมีแผนการที่ดีต่อข้าพเจ้าและต่อท่านด้วย เพราะพระองค์รู้ว่าวันหนึ่งข้าพเจ้าจะได้หนุนใจผู้อื่นหลังจากที่ข้าพเจ้าได้บังเกิดใหม่แล้ว และข้าพเจ้าอยากให้ทุกท่านขอบพระคุณสำหรับทุกกรณี พระเจ้าอยากให้ทุกๆท่านได้บำเหน็จ เมื่อเราผ่านการทดลองของชีวิตในโลกนี้ รางวัลในสวรรค์รอท่านอยู่ เป็นรางวัลที่นิรันดร์ ข้าพเจ้าอยากให้ทุกท่านรีบสะสมบำเหน็จ และเอาใจใส่สิ่งที่อยู่เบื้องบน เพราะเรารู้แล้วว่าวันเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว (ยากอบ5:8) ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรแก่ทุกๆท่าน<br /> <br />แต่ขอท่านทั้งหลายจงเจริญขึ้นในพระคุณและในความรู้เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา สง่าราศีจงมีแด่พระองค์ ทั้งในปัจจุบันนี้ และตลอดไปเป็นนิจ เอเมน<br /> <br />************************* ข้อพระคัมภีร์มาจากพระคัมภีร์ฉบับคิงเจมส์*************************</big>JohnBaptistHenryhttp://www.blogger.com/profile/02868801750545362821noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6362001047782108830.post-34816393175714775942010-12-22T19:52:00.000-08:002011-01-13T22:33:08.295-08:00Ruth<center><b><big><big><big>สันติสุขที่แท้จริงคืออะไร?</big></big></big></b><br /><br /><img src="http://thai.landmarkbiblebaptist.net/Pic/10.jpg" height=180 width=200 alt="THAI TRIBE GIRL"></center><br /><br /> <big> “ จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด” (ฟิลิปปี 4 :4)<br /> “ แต่ส่วนข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้าเราจะปรนนิบัติพระเยโฮวาห์” (โยชูวา24 :15) <br /><br />ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ให้ข้าพเจ้าได้รับความทุกข์ ซึ่งเป็นพระพรจากพระเจ้า และความทุกข์นั้นทำให้ข้าพเจ้าได้รับสันติสุขที่แท้จริง เมื่อข้าพเจ้าได้เรียนรู้ในน้ำพระทัยของพระองค์ ข้าพเจ้าจึงรู้ว่าพระองค์อยากเปลี่ยนเรา เพื่อเราจะได้เรียนรู้ว่า เราจะขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณีไหม และเราจะเรียนรู้ยังไงว่าอยากผ่านการทดลองของพระองค์และเปลี่ยนเป็นความชื่นชมยินดี ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะได้รับพระพรหลังจากที่อ่านหนังสือเล่มนี้และมีความชื่นชมยินดีในการรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา <br /> ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรแก่ท่าน<br /><br /><b>ความสุขที่ใครๆก็สร้างได้</b><br />เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่ไม่มีสันติสุขในชีวิต แทบจะไม่รู้เลยว่าสันติสุขคืออะไร เพราะข้าพเจ้าได้รับความทุกข์ใจตั้งแต่เด็กจนโตและข้าพเจ้าต้องรับผิดชอบครอบครัวเกินเด็กทั่วๆไปและข้าพเจ้าเคยมีความคิดว่าความสุขเราสร้างขึ้นเองได้ แต่มันจำกัดจริงๆ เช่นเวลามีเงินสักก้อนหนึ่ง ใครๆก็มีความสุขที่ได้ใช้มัน แต่พอเวลาเงินหมด ก็ไม่มีความสุข เพราะบางคนไปกู้ยืมเขามา บางคนสร้างความสุขจากหลายๆอย่าง เช่น บางคนชอบการท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ ต่างจังหวัดบ้าง ต่างประเทศบ้าง แต่พอหยุดจากการเที่ยว และทำงานหนัก ก็อยากหาโอกาสเพื่อพักผ่อนหย่อนใจอีก จะเป็นแบบนี้เรื่อยๆไม่มีจุดจบ แปลว่าท่านกำลังหาการพักผ่อนเพื่อใจสงบ และไม่กังวลใดๆในช่วงเวลานั้น แต่พอท่านกลับไปทำงาน ก็มีสิ่งที่หนักใจให้ท่านอีก ท่านเคยคิดไหมว่า อยากจะพ้นจากสิ่งเดิมๆเหล่านี้ ? บางคนมีความสุขกับวัตถุต่างๆในโลกนี้ เช่น รักบ้าน ชอบการตกแต่งบ้าน บางคนชอบการจัดดอกไม้ บางคนชอบการทำอาหาร บางคนชอบการเรียนที่สูงขึ้น บางคนชอบการแต่งตัว บางคนชอบการดูแลรถ และบางคนชอบการมีชื่อเสียง<br />ยังมีอีกหลายอย่างที่มนุษย์แสวงหาสิ่งที่เขาชอบ แต่ขาดสิ่งหนึ่งนั่นคือ “ มนุษย์ไม่ชอบพระเจ้า” และความสุขที่มนุษย์สร้างขึ้นเองนั้นไม่ถาวร ล้วนอนิจจัง (ปัญญาจารย์2:4-11) <br /> <br />ข้าพเจ้าอยากเล่าเรื่องจากคนๆหนึ่งให้ท่านฟัง ซึ่งเป็นเรื่องจริง มีคนหนึ่งตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจนจบ เขาต้องใช้เวลาในการเรียนนั้นหลายปี และต้องใช้ค่าใช้จ่ายที่สูงมากกว่าจะจบ และแน่นอนเขามีความสุขมากเมื่อมาถึงเวลาที่เขาจะได้รับปริญญา<br />และในวันนั้นน่าเศร้าใจมาก เพราะเขาไม่รู้ว่าหลังจากที่เขาออกจากงานรับปริญญานั้น เขาจะต้องเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ!<br /> ความสุขที่เราสร้างขึ้นมานั้นไม่ถาวร ท่านเคยคิดไหมว่าท่านอยากได้ความสุข หรือสันติสุขที่ถาวร? ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านอยากจะได้ สันติสุขที่มั่นคงและ แน่นอน<br /><br /><b> ท่านทราบไหมว่าสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้เราขาดสันติสุข?</b><br /><b>1. ความกระวนกระวาย</b><br />มีหลายท่านกระวนกระวายในชีวิตมาก จนลืมพระสัญญาของพระเจ้า พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะทรงเลี้ยงดูเราเหมือนนกและดอกไม้ แต่หลายท่านกลับวางใจในตนเองและมองดูสิ่งที่มองเห็น โดยไม่คำนึงถึงพระเจ้า ถ้าท่านมองพระเจ้า และคำสัญญาของพระองค์ พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งท่านเลย มีแต่ท่านที่ทิ้งพระเจ้าเสมอเมื่อมองปัญหา หลายท่านเคยเรียนพระคัมภีร์มาแล้ว แต่ก็ยังมีความกระวนกระวายอยู่ ท่านควรละความกระวนกระวายนั้น และมอบปัญหาของท่านไว้กับพระเจ้า อธิษฐานฝากไว้กับพระองค์ แล้วทุกๆสิ่งจะดีขึ้น พระเจ้าจะจัดการกับปัญหาของท่านที่ท่านทุกข์ใจ ท่านเชื่อในฤทธิ์อำนาจไหม? ท่านเชื่อว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ไหม? ไฉนท่านยังกำปัญหาและทุกข์ใจอยู่? ถ้าท่านเชื่อ พระเจ้าสามารถทำได้ทุกสิ่ง ไม่มีอะไรที่ยากสำหรับพระเจ้า ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างคุณยายของข้าพเจ้า คุณยายของข้าพเจ้าได้อธิษฐานเรื่องหนึ่งฝากไว้กับพระเจ้าซึ่งเป็นเรื่องที่คุณยายทุกข์ใจอยู่ พออธิษฐานเสร็จแล้วคุณยายพูดว่า “ทุกข์ใจจังเลย ” สิ่งที่คุณยายอธิษฐานนั้นกลับไม่เป็นประโยชน์เลย เพราะไม่ได้ทิ้งความกังวล และไม่ได้วางใจในพระเจ้า<br /> <br /> มีคริสเตียนหลายท่านก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ในพระคัมภีร์ได้บอกว่า“อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน การวิงวอนกับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจทุกอย่าง จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ ” (ฟิลิปปี 4:6-7) <br /><br /><b>ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างความเชื่อของ หญิงม่าย2คนในพระคัมภีร์</b><br /><b>1.1 หญิงม่ายเลี้ยงอาหารมื้อสุดท้ายในชีวิตให้แก่เอลียาห์ </b>(1พงศ์กษัตริย์17:8-14) <br />หญิงม่ายคนนี้เป็นแบบอย่างให้กับเราคือ เขายอมเชื่อฟังผู้รับใช้ของพระเจ้า และถ้าเขาสงสัยและไม่ยอมให้อาหารของตนกับเอลียาห์ เขากับลูกต้องอดตายเพราะการกันดารอาหาร เช่นกัน เวลาท่านเจอปัญหาท่านได้ปรึกษาผู้รับใช้ของพระเจ้าไหม? และท่านยอมเชื่อฟังสิ่งที่ผู้รับใช้ได้บอกให้ท่านทำหรือไม่? ถ้าท่านสงสัย และไม่เชื่อฟัง ท่านอาจจะเจอสิ่งที่แย่กว่าเดิม เพียงแต่ให้ท่านเชื่อฟังโดยไม่สงสัยเหมือนหญิงม่าย พระเจ้าจะช่วยท่านเหมือนที่พระองค์ทรงช่วยหญิงม่ายกับลูกของเธอ <br /> <br /><br /><b>1.2 น้ำมันหนึ่งไหของหญิงม่าย</b> (2พงศ์กษัตริย์4: 1-7)<br />หญิงม่ายคนนี้มีหนี้ที่ต้องชำระ อยากจะไถ่ลูกจากหนี้สิน หญิงม่ายคนนี้ปรึกษาเอลีชา และเอลีชาสั่งให้นำภาชนะให้เยอะที่สุดและสั่งให้ปิดประตูและเทน้ำมันใส่ภาชนะที่เตรียมไว้จนเต็มหมดทุกใบ และสั่งให้เอาไปขายเพื่อชำระหนี้ และน้ำมันที่เหลือเอาไว้กิน เช่นกัน ท่านได้เชื่อฟังผู้รับใช้ของพระเจ้าแบบหญิงม่ายไหม? และท่านมีความเชื่อ เหมือนที่หญิงม่ายมีไหม? แน่นอนข้าพเจ้าว่า ถ้าหญิงม่ายสงสัย และไม่มีความเชื่อ เขาคงไม่อยากทำตามสิ่งที่ผู้รับใช้ของพระเจ้าได้บอกแก่เขา และเขากับลูกก็ต้องชดใช้หนี้สินด้วยความทุกข์ใจ เวลาที่ท่านเจอปัญหาท่านได้ปรึกษาผู้รับใช้ไหม? ถ้าท่านเชื่อฟังและยอมทำตามโดยที่ไม่สงสัย ข้าพเจ้าเชื่อว่า ปัญหาของท่านจะค่อยๆดีขึ้น เหมือนหญิงม่ายทั้งสองคนและท่านทราบไหมว่านอกจากความกระวนกระวาย ยังมีอีกหลายสาเหตุที่ทำให้ท่านขาดสันติสุขนั่นคือ<br /><br /><img src="http://thai.landmarkbiblebaptist.net/Pic/AngryWoman.jpg" height=95 width=106alt=><br /><b>2. ความขมขื่นในชีวิต และความโกรธแค้น</b><br />ข้าพเจ้าเชื่อว่าหลายท่านไม่ทราบเลยว่าความขมขื่นในชีวิตนั้น มันมีอิทธิพลที่รุนแรงมาก สามารถทำให้ท่านขาดสันติสุขในชีวิต และสามารถทำให้คนอยากทำลายวิหารของพระเจ้า(คิดสั้น)ได้ด้วย(ตอนที่ท่านพ่ายแพ้ต่อซาตาน) หลายท่านอาจมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อน กับคนรู้จัก ญาติสนิท หรือแม้แต่คนที่ท่านรัก ในพระคัมภีร์บอกว่า<br /> “โกรธก็โกรธเถิด แต่อย่าทำบาป ” อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่ (เอเฟซัส4:26) เชื่อหรือไม่ความขมขื่นมีรากด้วย ยิ่งนานยิ่งฝังลึก ยากที่จะถอนออก และทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย พระองค์ต้องการให้เรารีบคืนดีกัน ( เอเฟซัส4:31) รากของความขมขื่นทำให้ท่านขาดพระพร และที่สำคัญ พระองค์ต้องการให้ท่านไม่โกรธแค้นใคร เพราะสิ่งต่างๆนี้ได้บังคำอธิษฐานของท่าน เพราะบาปนั้นทำให้พระเจ้าไม่ได้ยินคำอธิษฐานของท่าน สิ่งที่ท่านต้องทำคือ สารภาพบาปทูลขอพระองค์ช่วยถอนรากของความขมขื่นในชีวิต และท่านจะรู้สึกเหมือนมีคนยกภูเขาที่หนักในอกออกไปจากท่าน และท่านจะได้รับสันติสุขที่แท้จริง ข้าพเจ้าอยากให้ท่านได้มองดูพระเยซู ท่านจะพบว่าพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างในชีวิตของเราของการยกโทษ ในขณะที่พระองค์อยู่บนไม้กางเขน พระองค์ได้พูดว่า “ ข้าแต่พระบิดา ขอโปรดอภัยโทษเขา เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร” (ลูกา 23:34) <br /><br /> และโยเซฟเช่นกัน ที่เป็นตัวอย่างในชีวิตของเรา ของการยกโทษ พี่ชายของโยเซฟได้ขายโยเซฟให้เป็นทาสของคนอียิปต์ และเมื่อโยเซฟได้โอกาสเจอพี่ชาย โยเซฟกลับไม่แก้แค้นพี่ชายเลย แต่ดีใจเมื่อเจอพี่ชาย โดยการทรงนำของพระเจ้า โยเซฟให้อภัยแก่พี่ชาย และกอดพี่ชายด้วยความคิดถึงและความรักที่จริงใจด้วยน้ำตา สเทเฟนก็เป็นคนหนึ่งที่เปี่ยมด้วยความรักและให้อภัย ในขณะที่คุกเข่าลงและกำลังจะถูกปาก้อนหินจากคนที่เกลียดชัง สเทเฟนได้ร้องเสียงดังว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอโปรดอย่าทรงถือโทษเขา เพราะบาปนี้ ” (กิจการ7 :60)<br /><br /> มีบุคคลมากมายในพระคัมภีร์ที่เป็นแบบอย่างของการยกโทษให้ผู้อื่น และมีคริสเตียนหลายท่านยังพลาดในจุดนี้ ซาตานรู้ว่าบางคนจะพลาดในการยกโทษให้ผู้อื่น ข้าพเจ้าก็เป็นคนหนึ่งที่เคยพลาดในจุดนี้ มันมีอิทธิพลต่อข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าไม่สามารถมีสันติสุขเลย ซาตานพยายามเล็งในจุดอ่อนของเรา เมื่อมันรู้ว่าเรามีจุดอ่อนตรงไหน มันก็ยิ่งโจมตีเราในจุดนั้น ( 1เปโตร 5:8-9)<br /> และถ้าเรายังปล่อยให้ความขมขื่น หรือการไม่ยกโทษชนะเรา ให้มันมีอิทธิพล จะทำให้ท่านขาดสันติสุข และไม่สะอาดจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทิ้งความบาปนี้ และให้อภัยผู้อื่นเหมือนที่พระเจ้าให้อภัยความบาปของท่าน อธิษฐานขอพระองค์ทรงยกโทษให้ท่าน (1ยน.1:9) และท่านจะได้มีสันติสุขอย่างแท้จริงอีกครั้ง! และท่านจะร้องว่า “ฮาเลลูยา สรรเสริญพระเจ้า! นับจากนี้ไปข้าพเจ้าจะยกโทษให้ผู้อื่น ”<br /><br /><b>3. การดำเนินชีวิตที่ไม่พอพระทัยพระเจ้า</b><br />การดำเนินชีวิตที่ผิดพลาดก็ย่อมเป็นสาเหตุหนึ่งที่ท่านไม่มีสันติสุข พระเจ้าให้ท่านมีเสรีภาพ ท่านสามารถทำอะไรก็ได้ สิ่งที่ท่านเลือกทำได้มี 2 อย่าง คือ 1. เลือกที่จะเชื่อฟังพระเจ้า 2. เลือกที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า ถ้าท่านเลือกข้อ 2 ท่านกำลังขาดสันติสุขในชีวิต และกำลังอยากพ้นจากปัญหาต่างๆที่กำลังรุมเร้าเข้ามาในชีวิตของท่าน เพราะท่านไม่ได้ดำเนินชีวิตที่พอพระทัยของพระเจ้า และพระเจ้าทรงรักท่าน พระองค์ตีสอนท่านเพราะท่านเป็นลูกของพระองค์ เหมือนพ่อตีสอนลูก เมื่อถูกการตีสอนแน่นอนนอกจากท่านไม่มีสันติสุขแล้วบางท่านถึงขนาดบอบช้ำ( สุภาษิต 20:30) และเมื่อท่านเข้าใจในน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้น ท่านจะรู้ว่าที่แท้พระเจ้าทรงรักท่านอย่างมากมาย มากกว่ามนุษย์ในโลกนี้ และถ้าท่านรู้ว่าพระองค์ทรงมีพระประสงค์อะไรในชีวิตของท่าน และเลือกการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง เชื่อฟังพระองค์ พระองค์จะทรงให้ท่านมีสันติสุขอย่างมากมาย ถ้าท่านเลือกทำข้อ1แปลว่าท่านมีสันติสุขที่เปี่ยมล้นอยู่แล้ว เพราะท่านได้ดำเนินชีวิตที่พอพระทัยของพระเจ้า และท่านกำลังมีผลของฝ่ายพระวิญญาณ (กาลาเทีย5:22-23) และทุกครั้งเมื่อท่านเจอการฝัดร่อนท่านก็เรียนรู้ได้แล้วว่าจะชนะซาตานอย่างไร(ลูกา22:31-32)<br /><br /><b>4. การที่ท่านไม่พอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่</b><br />ข้าพเจ้าเคยเป็นคนหนึ่งที่ยังไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่มีอยู่ อ.เปาโลสอนเราว่า “...ข้าพเจ้าเรียนรู้แล้วที่จะพอใจอยู่อย่างนั้น...” (ฟิลิปปี4:11-13) ถ้าเราไม่เรียนรู้ในการขอบพระคุณในสิ่งที่มีอยู่ก็ทำให้ท่านไม่มีสันติสุข และตกอยู่ในบ่วงของซาตาน ที่ทำให้ท่านอยากจะมั่งมีร่ำรวยเหมือนชาวโลก ซึ่งเป็นแผนของซาตานที่ทำให้ท่านไม่ได้สนใจในสิ่งฝ่ายวิญญาณด้วย (โคโลสี3:1-2) มัทธิว6:33 “ แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้แก่ท่าน” มีคริสเตียนหลายท่านบอกว่า ทำไมเราถึงจนและทำไมชาวโลก ส่วนมากถึงร่ำรวย แท้จริงพระเจ้าของเรานั้นทรงยิ่งใหญ่มาก พระองค์จะทำอะไรก็ได้ เพราะพระองค์เป็นเจ้าของทุกสิ่ง พระองค์ร่ำรวยมากๆ สามารถสร้างทองคำ เพชร พลอย หรือแม้แต่กระดาษ(เงิน)ที่เราจะต้องเอาไว้จับจ่ายใช้สอย พระเจ้าจะให้ลูกของพระองค์มีสิ่งเหล่านี้ก็ได้ แต่เพราะพระองค์ทรงรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่า ถ้าเราได้สิ่งของทั้งหมดในโลกแต่ต้องเสียชีวิต หรือเสียบำเหน็จไป อันไหนสำคัญกว่ากัน ข้าพเจ้าว่า วันนี้หลายท่านอาจจะไม่เข้าใจในน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ในวันที่เราจะต้องอยู่ต่อหน้าพระเจ้า เราจะรู้ว่าที่แท้ ที่พระองค์ให้เราทนทุกข์มากกว่าชาวโลก เพราะ พระองค์ทรงจัดเตรียมสิ่งที่ดีกว่าให้เรานั่นเอง ซึ่งเป็นบำเหน็จที่ถาวรนิรันดร์ แต่ในโลกนี้ก็เช่นกัน พระเจ้ารู้ว่าลูกของพระองค์ต้องการอะไรบ้าง(ที่จำเป็น) และพระเจ้าจะให้สิ่งนั้นแก่ท่านเมื่อท่านได้ทำตามกฎของพระเจ้าก่อนคือ แสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า( การนำวิญญาณ)และแสวงหาความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แปลว่า พระเจ้าทรงรู้ว่าจะมีหลายคนที่ทำไม่ถูกต้องนั่นคือ แสวงหาสิ่งต่างๆในโลกนี้ก่อนแสวงหาพระเจ้า ข้าพเจ้าเห็นผู้รับใช้ของพระเจ้า มีสิ่งต่างๆที่จำเป็นเช่นรถยนต์ หรืออะไรต่างๆที่ต้องมีใช้ในงานคริสตจักร สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ง่ายๆเลย เพราะต้องพึ่งในคำอธิษฐาน แต่พระเจ้าสัตย์ซื่อ ตอบคำอธิษฐานและให้ตามคริสตจักรมีสิ่งอำนวยความสะดวกในการรับใช้ แต่ไม่ใช่ทุกเรื่อง เพราะพระองค์อยากให้ท่านมีความเชื่อ และพระเจ้าทรงเลี้ยงดูลูกของพระองค์เสมอ เมื่อพระเจ้าเรียกข้าพเจ้าให้รับใช้พระเจ้านั้น ข้าพเจ้าเคยคิดว่าจะอยู่กินอย่างไร แต่เมื่อข้าพเจ้านึกถึงข้อพระคัมภีร์ มัทธิว6:33 นั้นทำให้ข้าพเจ้ายิ่งวางใจในพระเจ้ามากยิ่งขึ้น เพราะพระเจ้าทรงนำชนชาติอิสราเอลอย่างไร พระองค์ก็จะทรงนำหน้าเราอย่างนั้นด้วย ตอนนี้ข้าพเจ้าเรียนรู้แล้วที่จะพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ข้าพเจ้าขอบคุณพระองค์ที่ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าและครอบครัว ทั้งพระพรของพระองค์ รวมทั้งที่พระองค์ตอบคำอธิษฐานของข้าพเจ้า พระพรของพระเจ้านั้นมากมาย สำหรับผู้ที่ทำตามที่พระเจ้าบอกไว้ใน มัทธิว6:33 ถ้าท่านให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่งในชีวิตของท่าน และสิ่งต่างๆที่จำเป็นนั้นจะตามมาอย่างมากมาย และท่านจะมีสันติสุขที่เกินความเข้าใจของท่านในพระองค์ วันนี้ท่านพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่แล้วหรือยัง?ถ้ายัง ขอให้ท่านรีบขอบคุณพระเจ้า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป แล้วสันติสุขจะคุ้มครองในจิตใจของท่านให้ท่านอิ่มใจมากกว่าได้สิ่งของในโลกนี้<br /><br /><img src="http://thai.landmarkbiblebaptist.net/Pic/readBible.gif" height=95 width=106 alt="THAI BIBLE"><br /><b>5.การขาดอาหารฝ่ายวิญญาณ</b> <br />ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” (มัทธิว 4:4) <br /><br /> มีคริสเตียนหลายท่านขาดการอ่านพระคัมภีร์ที่สม่ำเสมอ เมื่อไม่ได้กินอาหารก็ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคได้ เช่นกัน เมื่อท่านขาดการอ่านพระคัมภีร์ ก็ทำให้ท่านขาดความแข็งแรง เวลาที่เจอเชื้อโรคเข้ามาคือ ปัญหาต่างๆหรือการทดลองเข้ามา ก็ไม่สามารถชนะได้ หลายท่านต้องพ่ายแพ้ไป หลายท่านอ่อนกำลังไม่มีเรี่ยวแรง เป็นเพราะท่านไม่ได้กินอาหารฝ่ายวิญญาณนั่นคือพระคัมภีร์ ท่านควรอ่านพระวจนะสม่ำเสมอ เพื่อท่านจะสามารถสู้กับซาตานได้ (1เปโตร 5:8-9)(ยากอบ4:7-8)<br />และที่สำคัญท่านควรสวมชุดยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าด้วย(เอเฟซัส 6:10-17) ชุดนั้นประกอบด้วย <br /><br />1. ความรอด = หมวกเหล็กป้องกันศรีษะ <br />2. ความชอบธรรม = ทับทรวงป้องกันอก<br />3. ความจริง = เป็นเข็มขัดคาดเอว <br />4. ข่าวประเสริฐ = สวมเป็นรองเท้า <br />5. พระคัมภีร์ = เป็นดาบต่อสู้ <br /><br /><img src="http://thai.landmarkbiblebaptist.net/Pic/G-devilsmash.gif" height=95 width=106 alt="THAI BIBLE"><br /> “...จงต่อสู้กับพญามาร และมันจะหนีไปจากท่าน” (ยากอบ4:7)<br /><br />ถ้าท่านเตรียมพร้อมสู้ศัตรูของท่าน ท่านจะชนะโดยพึ่งพระเจ้าและถ้าท่านมีสันติสุขในการอ่านพระคัมภีร์ นอกจากท่านจะเข้มแข็งแล้ว ท่านจะเติบโตขึ้นในฝ่ายวิญญาณด้วย ท่านเชื่อไหมว่าการ ขาดการประชุมที่สม่ำเสมอ (ฮีบรู10:25) ทำให้ท่านขาดอาหารฝ่ายวิญญาณด้วย เพราะมีหลายท่านไม่ชอบการอ่านพระคัมภีร์เลย รอแต่มาฟังในวันอาทิตย์อย่างเดียว ยิ่งถ้าท่านขาดการประชุม ท่านยิ่งขาดอาหารฝ่ายวิญญาณด้วย ท่านสังเกตต้นไม้ของท่านที่ปลูกไหม? เวลาที่ท่านไม่ได้รดน้ำต้นไม้ งดให้อาหารแก่มัน ในที่สุดต้นไม้นั้นจะเป็นอย่างไร? ต้นไม้นั้นค่อยๆเหี่ยวและแห้งไป และในที่สุดต้นไม้นั้นก็ตาย เช่นกันถ้าท่านขาดการอ่านพระคัมภีร์ ท่านจะเติบโตได้อย่างไร และท่านอาจล้มลงและพ่ายแพ้ต่อซาตาน ข้าพเจ้าอยากให้ท่านรักในการอ่านพระวจนะ แล้วท่านจะได้พบกับสันติสุขอย่างแท้จริง “ พระดำรัสของพระองค์นั้น ข้าพระองค์ชิมแล้วหวานจริงๆ หวานกว่าน้ำผึ้งเมื่อถึงปากข้าพระองค์ ” (สดุดี 119: 103) <br /> <br /><b>6. ท่านขาดการอธิษฐานที่สม่ำเสมอ</b><br />“ จงขะมักเขม้นในการอธิษฐาน จงเฝ้าระวังอยู่ในการนั้นด้วยขอบพระคุณ ” (โคโลสี 4:2)<br />“อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอนกับการขอบพระคุณแล้วสันติสุขแห่งพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจทุกอย่าง จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์” (ฟิลิปปี 4:6-7)<br /><br />การอธิษฐานเป็นเหมือนการหายใจ ถ้าท่านขาดอากาศหายใจท่านจะตาย ถ้าท่านขาดการอธิษฐานท่านก็ขาดพลังในการดำเนินชีวิต การอธิษฐานเป็นสิ่งที่จำเป็นมากที่สุดในชีวิตที่ท่านต้องทำประจำ และตามด้วยรักในการอ่านพระวจนะ ดาเนียลเป็นคนที่รักในการอธิษฐาน ถ้าท่านรักในการอธิษฐาน พระเจ้าได้รับเกียรติจากชีวิตของท่านในการอธิษฐานด้วย หลายท่านรับใช้พระเจ้าโดยทางอธิษฐาน ทำให้การงานในคริสตจักรดำเนินไปด้วยดี เช่นกันในครอบครัวควรรักในการอธิษฐานด้วย เพราะซาตานคอยรบกวนเราเสมอ ทำให้ครอบครัวของพระเจ้าแตกความสามัคคีกัน การขาดการอธิษฐานทำให้สามี ภรรยาต้องทะเลาะกัน ทำให้ลูกๆเข้าใจพ่อแม่ผิด ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ และที่สำคัญที่สุด คือทำให้ท่านขาดสันติสุขในชีวิต เพราะท่านกำลังทุกข์ใจจากปัญหาในคริสตจักร หรือจากครอบครัว เพราะท่านขาดการอธิษฐานที่สม่ำเสมอ ซาตานเป็นเสมือนแมลงวัน ที่คอยมารุมท่านเสมอ ท่านต้องคอยไล่แมลงวัน เสมอด้วยคำอธิษฐาน เพราะแมลงวันนั้นจะกลับมารุมตอมเราอีก มันไม่หยุด ฉะนั้นข้าพเจ้าหวังว่าทุกๆท่าน จะคอยไล่แมลงวันนั้น(พญามาร)ด้วยคำอธิษฐานที่สม่ำเสมอของท่าน <br /><br /><b>ท่านทราบไหมว่าสันติสุขที่แท้จริงคืออะไร?</b><br /><br /> ความสุขที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้น มีมากมาย แต่ความสุขนั้นไม่สามารถยั่งยืนได้เลย และท่านทราบไหมสันติสุขที่แท้จริงคืออะไร?<br />สันติสุข ที่แท้จริงคือ การที่เราได้รับใช้พระเจ้า นอกจากเราได้สะสมบำเหน็จในสวรรค์แล้ว เราได้รับอะไรๆที่ดีขึ้นในโลกนี้และโลกหน้า( สวรรค์) อดีตข้าพเจ้าไม่เคยคิดถึงการรับใช้พระเจ้าเลย คิดว่าเป็นคริสเตียนคนหนึ่งที่มีหน้าที่ไปโบสถ์ในวันอาทิตย์เท่านั้น และช่วยกิจกรรมในคริสตจักร ข้าพเจ้าสังเกตผู้รับใช้ของพระเจ้า ตามคริสตจักรต่างๆ และสงสัยว่าทำไมผู้รับใช้ของพระเจ้ามีสันติสุขที่สม่ำเสมอ เหมือนคนที่ไม่ทุกข์ใจในอะไรเลย ผิดต่างจากข้าพเจ้าที่ยิ่งทำงานๆ ทำไมไม่มีสันติสุขเลย ยิ่งได้อะไรเกี่ยวกับเนื้อหนังเพิ่มขึ้น ยิ่งได้ความทุกข์ที่เพิ่มขึ้น และเวลานี้หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ถวายตัว และหัวใจให้กับพระเจ้า ข้าพเจ้ามีความมั่นใจว่าตั้งแต่นี้ไป พระองค์จะเป็นเจ้าของในชีวิตข้าพเจ้าและข้าพเจ้าอยากรับใช้พระเจ้า และทำตามในสิ่งที่พระเจ้าสั่งให้เราทำนั่นคือ ประกาศ ข่าวประเสริฐ นับจากนั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าจึงมีสันติสุขที่เปี่ยมล้น และเรียนรู้ในพระคุณของพระเจ้ามากขึ้น ทั้งชื่นชมยินดีในการรับใช้ ถึงแม้ข้าพเจ้าได้เจอปัญหาบ้าง แต่ข้าพเจ้าก็เรียนรู้แล้วที่จะมีสันติสุขเพราะข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าอยากบอกทุกท่านว่าสันติสุขที่แท้จริงอยู่ในพระองค์เท่านั้น ไม่มีอะไรที่มีสันติสุขแทนสันติสุขในพระเจ้า และเมื่อท่านได้ถวายตัวยอมให้พระองค์เป็นที่หนึ่งในชีวิตของท่าน พระพร รวมทั้งสันติสุขจะคุ้มครองในชีวิตของท่าน <br /> ท่านผู้อ่านที่รัก ข้าพเจ้าหวังว่าหนังสือเล่มนี้ จะเป็นพระพรในชีวิตของท่านให้ท่านได้ทราบถึงความสุขและสันติสุขในพระเจ้า และสันติสุขที่นิรันดร์นั่นคือ การรับใช้พระเจ้านั่นเอง !</big><br /><br /><img src="http://thai.landmarkbiblebaptist.net/Pic/crowned_AV.gif" height=95 width=106 alt="THAI BIBLE">JohnBaptistHenryhttp://www.blogger.com/profile/02868801750545362821noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6362001047782108830.post-50324629094857576732010-11-29T20:10:00.000-08:002011-05-20T10:55:54.999-07:00Christ's Birth<center><b><big><big><big><big>เพราะเหตุใดพระเยซูคริสต์<br>จึงเสด็จลงมาบังเกิด?</big></big></big></big></b><br /><img src="http://graphics.landmarkbiblebaptist.net/babyjesus.jpg" border="5" align="center" hspace="0" vspace="0" style="width: 361px; height: 446px;"></center><br /><big><big><b>คำนำ :</b></big><br />"<i>ในเริ่มแรกนั้นพระวาทะทรงเป็นอยู่แล้ว และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า ... <u>พระวาทะได้ทรงสภาพของเนื้อหนัง</u> และทรงอยู่ท่ามกลางเรา (และเราทั้งหลายได้เห็นสง่าราศีของพระองค์ คือสง่าราศีอันสมกับ<u>พระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดจากพระบิดา</u>) บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง</i> " (ยอห์น 1:1, 14)<br />"<i>ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และ<u>จะคลอดบุตรชายคนหนึ่ง</u> และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล ซึ่งแปลว่า พระเจ้าทรงอยู่กับเรา</i> " (มัทธิว 1:23)<br /><br /><big><b>1. พระคริสต์มาเกิดเพื่อทำคำพยากรณ์ให้สำเร็จ</b></big><br />"<i><u>อย่าคิดว่า<b><big>เรามา</big></b>เพื่อจะทำลายพระราชบัญญัติหรือคำของศาสดาพยากรณ์เสีย เรามิได้มาเพื่อจะทำลาย แต่<b><big>มาเพื่อจะให้สำเร็จ</b></big></u> เพราะ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถึงฟ้าและดินจะล่วงไป แม้อักษรหนึ่งหรือจุดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากพระราชบัญญัติ จนกว่าจะสำเร็จทั้งสิ้น</i> " (มัทธิว 5:17-18)<br /><br /><big><b>2. พระคริสต์มาเกิด เพื่อทำลายงานของพญามาร </b></big><br />"<i>ผู้ที่กระทำบาปก็มาจากพญามาร เพราะว่าพญามารได้กระทำบาปตั้งแต่เริ่มแรก <u>พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏก็เพราะเหตุนี้ คือเพื่อทรงทำลายกิจการของพญามารเสีย</u></i> " (1 ยอห์น 3:8)<br /><br /> <big><b>3. พระคริสต์มาเกิดเพื่อให้คนบาปกลับใจ</b></big><br />"<i>พระเยซูตรัสตอบเขาว่า 'คนปกติไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บต้องการหมอ เรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่<u>มาเรียกคนบาปให้กลับใจเสียใหม่</u>'</i> " (ลูกา 5:31-32)<br /><br /> <big><b>4. พระคริสต์มาเกิดเพื่อการพิพากษา</b></big><br />"<i>อย่าคิดว่า<u>เรามา</u>เพื่อจะนำสันติภาพมาสู่โลก เรามิได้นำสันติภาพมาให้ แต่เรานำดาบมา ด้วยว่า<u>เรามาเพื่อจะให้</u>ลูกชาย<u>หมางใจ</u>กับบิดาของตน และลูกสาวหมางใจกับมารดาและลูกสะใภ้หมางใจกับแม่สามี</i> " (มัทธิว 10:34-35)<br />"<i>พระเยซูตรัสว่า '<u>เราเข้ามาในโลกเพื่อการพิพากษา เพื่อให้คนทั้งหลายที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น</u> และคนที่มองเห็นกลับตาบอด'</i> " (ยอห์น 9:39)<br /><br /> <big><b>5. พระคริสต์มาเกิดเพื่อถวายชีวิตเพื่อช่วยคนให้พ้นจากนรก</b></big><br />"<i>เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่<u>มาเพื่อจะปรนนิบัติ และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่สำหรับคนเป็นอันมาก</u></i> " (มาระโก 10:45)<br />"<i>ไม่มีผู้ใดได้ขึ้นไปสู่สวรรค์นอกจาก<u>ท่านที่ลงมาจากสวรรค์ คือบุตรมนุษย์ผู้ทรงสถิตในสวรรค์นั้น</u> โมเสสได้ยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น เพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระองค์จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์</i> " (ยอห์น 3:13-15)<br /> <br /><big><b> 6. พระคริสต์มาเกิดเพื่อแสวงหาและช่วยผู้ที่หลงหายไปให้รอด</b></big><br />"<i>ผู้ใดที่กระทำบาปก็ละเมิดพระราชบัญญัติด้วย เพราะความบาปเป็นสิ่งที่ละเมิดพระราชบัญญัติ ท่านทั้งหลายก็รู้อยู่แล้วว่า <u>พระองค์ได้ทรงปรากฏเพื่อนำบาปทั้งหลายของเราไปเสีย</u> และบาปในพระองค์ไม่มีเลย</i>" (1 ยอห์น 3:4-5)<br />"<i>คำนี้เป็นคำสัตย์จริงและสมควรที่คน ทั้งปวงจะรับไว้ คือว่า<u>พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลกเพื่อจะได้ทรงช่วยคนบาปให้รอด</u> และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอก</i> " (1 ทิโมธี 1:15)<br />"<i><u>เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อทำลายชีวิตมนุษย์ แต่มาเพื่อช่วยเขาทั้งหลายให้รอด</u>" แล้วพระองค์กับเหล่าสาวกก็เลยไปที่หมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง</i> " (ลูกา 9:56)<br />"<i><u>เพราะว่าบุตรมนุษย์ได้มาเพื่อจะแสวงหาและช่วยผู้ที่หลงหายไปนั้นให้รอด</u></i> " (ลูกา 19:10)<br />"<i><u>เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงใช้พระบุตรของพระองค์เข้ามาในโลกเพื่อจะพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น</u> ผู้ ที่เชื่อในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ แต่ผู้ที่มิได้เชื่อก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้เชื่อในพระนามพระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดจากพระเจ้า หลักของการพิพากษามีอย่างนี้ คือ<u>ความสว่างได้เข้ามาในโลกแล้ว</u> แต่มนุษย์ได้รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะกิจการของเขาชั่ว</i> " (ยอห์น 3:17-19)<br /><br /><big><b>7. พระคริสต์มาเกิดเพื่อรักษาบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์ และได้ฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย</b></big><br />"<i><u>เพราะว่าเราได้ลงมาจากสวรรค์</u> มิใช่เพื่อกระทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่<u>เพื่อกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา</u> และ พระประสงค์ของพระบิดาผู้ทรงใช้<u>เรามา</u>นั้น ก็คือให้เรา<u>รักษาบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงมอบไว้กับเรา มิให้หายไปสักคนเดียว แต่ให้ฟื้นขึ้นมาในวันที่สุด</u> เพราะ นี่แหละเป็นพระประสงค์ของผู้ที่ทรงใช้<u>เรามา</u>นั้น<u> ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตร และเชื่อในพระบุตรได้มีชีวิตนิรันดร์</u> และเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย</i> " (ยอห์น 6:38-40)<br /><br /><big><b>8. พระคริสต์มาเกิดเพื่อเป็นแสงสว่างแห่งชีวิต</b></big><br />"<i><u>เราเข้ามาในโลกเป็นความสว่าง</u> เพื่อผู้ใดที่เชื่อในเราจะมิได้อยู่ในความมืด </i> " (ยอห์น 12:46)<br /><br /><big><b>9. พระคริสต์มาเกิดเพื่อให้ชีวิตที่ครบบริบูรณ์</b></big><br />"<i>ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย<u> เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต</u> และจะได้อย่างครบบริบูรณ์</i> " (ยอห์น 10:10)<br /><br /><big><b>10. พระคริสต์มาเกิดเพื่อเป็นพยานถึงความจริง</b></big><br />"<i>หญิงนั้นคลอดบุตรชาย <u>ผู้ซึ่งจะครอบครองประชาชาติทั้งปวงด้วยคทาเหล็ก</u> และบุตรนั้นได้ขึ้นไปถึงพระเจ้า ถึงพระที่นั่งของพระองค์</i> " (วิวรณ์ 12:5)<br />"<i>ปีลาตจึงทูลถามพระองค์ว่า 'ถ้าเช่นนั้นท่านเป็นกษัตริย์หรือ' พระเยซูตรัสตอบว่า 'ท่าน พูดว่าเราเป็นกษัตริย์<u> เพราะเหตุนี้เราจึงเกิดมาและเข้ามาในโลก เพื่อเราจะเป็นพยานถึงความจริง</u> คนทั้งปวงซึ่งอยู่ฝ่ายความจริงย่อมฟังเสียงของเรา'</i> " (ยอห์น 18:37)<br /><br /><big><b>สรุป :</b></big><br />"<i>ของประทานอันดีทุกอย่าง และของประทานอันเลิศทุกอย่างย่อมมาจากเบื้องบน และส่งลงมาจากพระบิดาแห่งบรรดาดวงสว่าง ในพระบิดาไม่มีการแปรปรวน หรือไม่มีเงาอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง พระองค์ได้ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดโดยพระวจนะแห่งความจริงตามน้ำพระทัยของ พระองค์ เพื่อเราทั้งหลายจะได้เป็นอย่างผลแรกแห่งสรรพสิ่งซึ่งพระองค์ทรงสร้างนั้น</i> " (ยากอบ 1:17-18)<br />"<i>ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้</i> " (เอเฟซัส 2:8-9)<br />"<i>เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานของพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา</i> " (โรม 6:23)<br />"<i>เหล็กในของความตายนั้นคือบาป และฤทธิ์ของบาปคือพระราชบัญญัติ แต่จงขอบพระคุณแด่พระเจ้า ผู้ทรงประทานชัยชนะแก่เราทั้งหลายโดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา</i> " (1 โครินธ์ 15:56-57)<br />"<i>เพราะท่านทั้งหลายรู้จักพระคุณของพระ เยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราว่า แม้พระองค์มั่งคั่ง พระองค์ก็ยังทรงยอมเป็นคนยากจน เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายเพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งมี เนื่องจากความยากจนของพระองค์</i> " (2 โครินธ์ 8:9)<br /><br /></big></big><br /><br>JohnBaptistHenryhttp://www.blogger.com/profile/02868801750545362821noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6362001047782108830.post-36152106085153556752010-11-12T19:21:00.000-08:002011-05-24T05:07:02.634-07:00INTRO<center><big><big><big>Introduction to Esan Baptist Bible Institute</big></big></big></center><br /><br />Anyone interested in studying the Word of God through Esan Baptist Bible Institute (EBBI) may apply by e-mail at EBBI@LandmarkBibleBaptist.net. <br /><br />EBBI is a ministry of Central Baptist Church in Baton Rouge, Louisianans, USA and is accredited by Salt Lake Baptist College in Salt Lake City, Utah, USA.<br /><br /><br><br><br>JohnBaptistHenryhttp://www.blogger.com/profile/02868801750545362821noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6362001047782108830.post-14010548473325446422007-10-23T10:17:00.000-07:002011-05-20T10:09:35.914-07:00Obadiah Holmes' Will<div style="text-align: left;"><center><span style="color: rgb(255, 255, 255);font-size:78%;" ><span style="font-style: italic;"></span></span><b><u><br />Last Will and Testament of Reverend Obadiah Holmes</u></b></center></div><p style="color: rgb(255, 255, 255);"></p><p><b>These are to signify that I, Obadiah Holmes of Newport on Rhode Island, being at present through the goodness and mercy of my God of sound memory; and, being by daily intimations put in mind of the frailty and uncertainty of this present life, do therefore - for settling my estate in this world which it has pleased the Lord to bestow upon me - make and ordain this my Last Will and Testament in manner following, committing my spirit unto the Lord that gave it to me and my body to the earth from whence it was taken, in hope and expectation that it shall thence be raised at the resurrection of the just.</b></p><p> <b>Imprimis, I will that all my just debts which I owe unto any person be paid by my Executor, hereafter named, in convenient time after my decease.</b></p><p> <b>Item. I give and bequeath unto my daughter, Mary Brown, five pounds in money or equivalent to money. </b></p><p> <b>Item. I give and bequeath unto my daughter, Martha Odlin, ten pounds in the like pay. </b></p><p><b> Item. I give and bequeath unto my daughter, Lydia Bowne, ten pounds. </b></p><p><b> Item. I give and bequeath unto my two grandchildren, the children of my daughter, Hopestill Taylor, five pounds each; and if either of them decease, the survivor to have ten pounds. </b></p><p><b> Item. I give and bequeath unto my son, John Holmes, ten pounds. </b></p><p><b> Item. I give and bequeath unto my son, Obadiah Holmes, ten pounds. </b></p><p><b> Item. I give and bequeath unto my grandchildren, the children of my son Samuel Holmes, ten pounds to be paid unto them in equal portions. </b></p><p><b> All these portions by me bequeathed, my will is, shall be paid by my Executor in money or equivalent to money. </b></p><p><b> Item. I give and bequeath unto all my grandchildren now living ten pounds; and ten shillings in the like pay to be laid out to each of them - a bible. </b></p><p><b> Item. I give and bequeath unto my grandchild, Martha Brown, ten pounds in the like pay. </b></p><p><b> All [of] which aforesaid legacies are to be paid by my Executor, hereafter named in manner here expressed: that is to say, the first payment to [be] paid within one year after the decease of my wife, Catherine Holmes, and twenty pounds a year until all the legacies be paid, and each to be paid according to the degree of age. </b></p><p><b> My will is and I do hereby appoint my son Jonathan Holmes my sole Executor, unto whom I have sold my land, housing, and stock for the performance of the same legacies above. And my will is that my Executor shall pay unto his mother, Catherine Holmes, if she survives and lives, the sum of twenty pounds in money or money pay for her to dispose of as she shall see cause. </b></p><p><b> Lastly, I do desire my loving friends, Mr. James Barker, Sr., Mr. Joseph Clarke, and Mr. Philip Smith, all of Newport, to be my overseers to see this my will truly performed. In witness whereof, I have hereunto set my hand and seal, this ninth day of April, 1681.</b></p><p><b> Obadiah Hullme [Holmes][Seal] </b></p><p><b> Signed, sealed and delivered in the presence of</b></p><p><b> Edward Thurston</b></p><p><b> Weston Clarke </b></p><p><b> (Edward Thurston, Sr., and Weston Clark appeared before the Council [of Newport], December 4, 1682, and did upon their engagements [pledges] declare and own that they saw Obadiah Holmes, deceased, sign seal and deliver the above written will as his act and deed; and, at the time of his sealing hereof, he was in his perfect memory, according to the best of our understandings. Taken before the Council, as attested. Weston Clarke, Town Clerk.)</b> </p><p> </p>JohnBaptistHenryhttp://www.blogger.com/profile/02868801750545362821noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6362001047782108830.post-2405776482919031012007-10-23T09:20:00.000-07:002011-05-20T10:09:35.914-07:00The Whipping of Obadiah Holmes<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgOdMPs_mFFuIFrcPE7LUhqNXTJgqhabmMsaxD4I5S9E4l0n1N5Oi6H4kfqPQ-LJ9qKThma6GEeZE_D01VJlpilTMfEY8n8bXvvjAsjJPUZiY7ozrONvW-3ybZr6xLGCkKhUON263DBjksZ/s1600-h/JohnCotton.jpg"><img style="margin: 0pt 0pt 10px 10px; float: right; cursor: pointer; width: 103px; height: 129px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgOdMPs_mFFuIFrcPE7LUhqNXTJgqhabmMsaxD4I5S9E4l0n1N5Oi6H4kfqPQ-LJ9qKThma6GEeZE_D01VJlpilTMfEY8n8bXvvjAsjJPUZiY7ozrONvW-3ybZr6xLGCkKhUON263DBjksZ/s200/JohnCotton.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5124596490887337058" border="0" /></a><span style="color: rgb(255, 255, 255);">.</span><br /><span style="font-size:85%;">To the right is <a href="http://en.wikipedia.org/wiki/John_Cotton_%28puritan%29">John Cotton</a> (1585–1652)</span><span style="font-size:85%;">. He was one of the Puritan </span><span style="font-size:85%;">religious leaders who defended punishing Baptists for holding services in Massachusetts.<br /><br /></span><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjam9kwiUYsCpvuenXMyyXofRVvm6Qn-MhQGttYFQH4rjYOkxsIpVBSlM9CXbvCYS10aJxYomgrYF3MliTncifN8a_ZYdtx17S_p40VSO6ymoWEGBVds1Mi2UUNXhDRkAACjQJp_QPh6hZ7/s1600-h/Obadiah-Holmes-1651.gif"><img style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 261px; height: 174px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjam9kwiUYsCpvuenXMyyXofRVvm6Qn-MhQGttYFQH4rjYOkxsIpVBSlM9CXbvCYS10aJxYomgrYF3MliTncifN8a_ZYdtx17S_p40VSO6ymoWEGBVds1Mi2UUNXhDRkAACjQJp_QPh6hZ7/s200/Obadiah-Holmes-1651.gif" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5124576703973004370" border="0" /></a><span style="font-size:85%;">To the left is a portrayal of the taking of </span><span style="font-weight: bold;font-size:85%;" >Obadiah </span><span style="font-weight: bold;font-size:85%;" > Holmes</span><span style="font-size:85%;"> </span><span style=""> (1607 - 1682)</span><span style="font-size:85%;">, </span><span style="font-weight: bold;font-size:85%;" >a Baptist preacher</span><span style="font-size:85%;">, for the crime of preaching in the home of man who invited him to do so.</span><br /><br /><br /><div style="text-align: center;"><span style="font-weight: bold;font-size:130%;" >Obadiah </span><span style="font-weight: bold;font-size:130%;" > Holmes' Lashing<br /></span></div><br /><span style="font-size:130%;">A whip with three cords slammed onto the bare back of </span><span style="font-weight: bold;font-size:130%;" > Holmes</span><span style="font-size:130%;"> who stood tied to the post. Thirty times the executioner struck with all his force. It was</span><span class="date" style="font-size:130%;"> on this day, </span><span class="date" style="font-size:130%;"> September 5, 1651</span><span style="font-size:130%;"> in Boston, Massachusetts.<br /><br />According to witnesses, Obadiah did not groan or scream. Instead, he preached to the crowd. When the whipping was over, he said, "You have struck me as with roses." To observers, it was obvious that he was badly wounded. As a matter of fact, he was so hurt that he had to stay in Boston for several weeks while he recovered, and could only eat while kneeling on his elbows and knees.<br /></span><span style="font-size:130%;"><br />How could he take this punishment so bravely? Obadiah was filled with joy because he considered that the Lord Jesus Christ had counted him worthy to suffer for the sake of truth. The beating came about because he crossed into Massachusetts from neighboring Rhode Island merely to help a sick old man and held a Baptist service in a private home in Puritan New England. Arrested with him were the Rev. John Clarke and another man. If Obadiah had been willing to pay a fine of 30 pounds he could have escaped the whipping. (30 pounds was a large sum of money for a poor man in those days; Obadiah's whole estate at his death was valued at only 130 pounds.) But he was so sure that he was right that he even refused to help his persecutors to unbutton his shirt, much less pay the unjust fine.</span><br /><br /><span style="font-size:130%;">Like the majority of inhabitants in New England, Obadiah was an immigrant from England. He did not become a Baptist until he settled in Massachusetts. Unable to bear the civil restrictions in Salem, he moved to Rehobath. There his teaching split the local church and he became leader of a small Baptist group. The colony's leaders ordered him "to desist, and neither to ordain officers, nor to baptize, nor to break bread together, nor yet to meet upon the first day of the week..." And so Obadiah and his wife moved to Rhode Island, setting up house for the third time since coming to America.</span><span style="font-size:130%;"><br /><br />In 1652, Obadiah succeeded Clarke as pastor of the Newport Baptist Church. He was only the second pastor of that congregation, which was the second Baptist Church in the New World. He led them for almost exactly thirty years--until his death in 1682.</span><span style="font-size:130%;"><br /><br />To the very end, Obadiah kept his eyes on the things of God. He had nine children and 42 grandchildren when he died. Seven years before the end, he wrote urging them to remember the meanings of their Bible names, given to them to help them stick fast to Christ. He urged them to square their lives with scripture and to meet, support, strengthen, and reprove one another.</span><span style="font-size:130%;"><br /><br />Obadiah's testimony lived on long after the punishment was past. Henry Dunster was one of the best-educated men in Massachusetts when he was given the job of founding Cambridge College (now Harvard University). When it appeared to him that the state could not answer the claims of John Clarke, Obadiah Holmes and Mr. Crandall, he studied his Bible and came to the conclusion that the persecuted men were correct. Shortly afterwards, he publicly refused to have his own newborn child baptized. Because of this he was dismissed from the leadership of Harvard.</span><span style="font-size:130%;"><br /><br />In Boston itself, Obadiah's suffering impressed others who established a Baptist church there, regardless of the colony's disapproval. Holmes' <a style="font-weight: bold;" href="http://esanbibleinstitute.blogspot.com/2007/10/obadiah-holmes-will.html"><em>Last Will and Testimony</em></a> is a highly regarded piece of Baptist exhortation.</span><p><br /></p> <p class="sources"><span style="font-weight: bold;">Bibliography</span>: </p><ol class="sources"><li>Holmes, James T., <em>The American Family of Rev. Obadiah Holmes.</em> Columbus, Ohio: Stoneman press, 1915.</li><li>Cramp, J. M. <em>Baptist History</em>. Excerpted: <a href="http://www.baptistpillar.com/bd0593.htm">baptistpillar.com/bd0593.htm</a>.</li><li>Mayer, Hal, Obadiah Holmes, Man of Courage. <a href="http://ktfministry.org/resources/articles/art_hm011.htm"><span style="text-decoration: underline;">ktfministry.org/resources/articles/art_hm011.htm</span></a></li><li>Rev. Obadiah Holmes Ref. <a href="http://homepages.rootsweb.com/%7Esam/obadiah.html">homepages.rootsweb.com/~sam/obadiah.html</a></li><li>Weber, T. P. "Holmes, Obadiah." <em>Dictionary of Baptists in America.</em> Editor, Bill J. Leonard. Downers Grove, Illinois: InterVarsity Press, 1994.</li><li>Wilson, Woodrow. <em>History of the American People.</em> New York: Harper and Bro., 1902. Source of the image.</li></ol>JohnBaptistHenryhttp://www.blogger.com/profile/02868801750545362821noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6362001047782108830.post-78309758374236547092007-10-23T04:12:00.000-07:002011-05-20T10:09:35.915-07:00Landmark Baptist BeliefLandmark Baptists believe the Bible concerning the doctrines of the church:<br /><br />Landmark Bible Baptist churches do not require historic proof of a church for church chain link succession. Scripture proves that there has been such a succession from the First New Testament Church that the Lord Jesus Christ established during His earthly sojourn to this day. Although the fact of it can be discerned from history.<br /><br />First and foremost this is demonstrated by the fact that the Word of God plainly states that there would be a succession of churches established by churches until the return of Christ:<br /><br /><i>"Go ye therefore, and teach all nations, baptizing them in the name of the Father, and of the Son, and of the Holy Ghost: Teaching them to <b>observe</b> all things whatsoever I have commanded you: <b>and, lo, I am with you alway, even <u>unto the end of the world</u>.</b> Amen."</i> (Matthew 28:19-20)<br /><br />This commission was given to <b><i>"ye"</i></b> which is Old English for y'all. It's plural. Then that word <b><i>"observe"</i></b> in the passage speaks not only of doing, but primarily of watching over or guarding the things that the Lord <b><i>"commanded"</i></b> in His Word. The Lord Jesus gave this charge of going, teaching, baptizing, doing and guarding His Word to the charter members of His church, but we know that those charter members died long ago and that it was not them, but succeeding generations of churches that would continue the work of the church <i><b>"even unto the end of the world. Amen."</b></i> Since the Lord gave the job of protecting His Word to the church, we know that the same kind of church with the same beliefs will endure <i><b>"even unto the end of the world,"</b></i> because we know His Truth will likewise endure for ever. The two go hand in hand. The Bible says that the church is the pillar and ground of the Truth:<br /><br /><i>"... behave thyself in the house of God, which is the church of the living God, the pillar and ground of the Truth."</i> (1 Timothy 3:15)<br /><br /><i>"Unto him be glory in the church by Christ Jesus throughout all ages, world without end. Amen."</i> (Ephesians 3:21)<br /><br />Secondly church succession is demonstrated by the fact that Bible churches have always adhered to the sound Scriptural doctrine. Christ's church has always believed in the Trinity, the Deity of the man Jesus Christ, salvation by grace through faith, Heaven, Hell, the second coming of Christ, etc. However, the major distinguishing mark of the true church is its church polity, practice and doctrine. In "Trail Of Blood" Clarence Walker and J. M. Carroll list a number of New Testament doctrines and practices that are found in churches in every age since Christ established His church. Some of them are:<br /><br />1. Christ is its founder, its only head and law giver. (Matt 16:18; Col 1:18)<br />2. Its ordinances only two, Baptism and the Lord's Supper. They are typical and memorial, not saving. (Matt 28:19-20; Acts 2:41-42)<br />3. Its officers, only two, pastors and deacons; they are servants of the church. (1 Tim 3:1-16)<br />4. Its government a pure democracy, and that executive only, never legislative. (Matt 20:24-28; 23:5-12; )<br />5. Its Laws and doctrines: The New Testament and that only. (Matt 28:20; 2 Tim 3:15)<br />6. Its members: Believers only, they saved by grace not works, through the regenerating power of the Holy Spirit. (Eph 2:8-9, 21; 1 Pet 2:5; Acts 2:47)<br />7. Its requirements: Believers on entering the church to be baptized, and that be immersion in the name of the Father, and of the Son, and of the Holy Ghost, then obedience to all New Testament laws. (Matt 28:19; Acts 2:41-42; 1 Cor 5:11)<br />8. The churches are separate and independent in their execution of laws and discipline and in their responsibility to God, but cooperative in work. (1 Cor 5:12; 2 Cor 2:6, 8:23; Phil 2:25, 4:15-18)<br />9. Complete separation of Church and State. (Matt 22:21)<br />10 Absolute religious liberty for all. (2 Cor 10:4; 1 Pet 3:15)<br /><br />In the First Century these traits were seen in the Apostolic Church, and in successive centuries they were seen in the Novations, Donatists, Waldenses, Albigenses, Paulicans, Anabaptists, etc.<br /><br />A prophetic mark that showed that these Baptist groups were the Lord's church is the heavy persecution that they suffered because they stood for the teachings of Christ and righteousness. The Lord prophesied this beforehand this stand would bring persecution:<br /><br />"Remember the word that I said unto you, The servant is not greater than his lord. If they have persecuted me, they will also persecute you ..." (John 15:20)<br /><br />"... In the world ye shall have tribulation: but be of good cheer; I have overcome the world." (John 16:33)<br /><br />"Blessed are they which are persecuted for righteousness' sake: for theirs is the kingdom of heaven. Blessed are ye, when men shall revile you, and persecute you, and shall say all manner of evil against you falsely, for my sake. Rejoice, and be exceeding glad: for great is your reward in heaven: for so persecuted they the prophets which were before you." (Matthew 5:10-12)<br /><br />"Yea, and all that will live godly in Christ Jesus shall suffer persecution." (2 Tim 3:12)<br /><br />Another prophetic evidence, this one guaranteeing a chain link continuance of the church, is found in the Great Commission that the Lord charged His church with. The Lord Jesus said:<br /><br />"... All power is given unto Me in heaven and in earth. Go ye therefore, and teach all nations, baptizing them in the name of the Father, and of the Son, and of the Holy Ghost: Teaching them to observe all things whatsoever I have commanded you: and, lo, I am with you alway, even unto the end of the world. Amen." (Matt 28:19-20)<br /><br />The simple language of this passage requires a chain link succession of churches "even unto the end of the world." The words "ye" and "you" in the phrases, "Go ye, and teach all nations ..." and "... I am with you alway ..." are plural, meaning the Church. The Lord was addressing His apostles who were the charter members of His Church (1 Cor 12:28; Luke 6:13). However, Jesus was also addressing all successive churches that sprang from them. Some would reject this fact saying that there in no direct command on how to start a church. This may be so, but the clear language of the passages demands that there be a daily connection of the church "alway, even unto the end of the world." That word "alway" comes from two Greeks words, "all" or "every" (Strong's #3956) and "day" (Strong's #2250). So it is clear that the church is connected in time daily or "alway, even unto the end of the world." This daily connection requires a chain link succession.<br /><br />Further evidence of this is not difficult to see this in Scripture. Take these passages for example:<br /><br />1. "... ye shall be witnesses unto Me both in Jerusalem, and in all Judaea, and in Samaria, and unto the uttermost part of the earth." (Acts 1:8)<br /><br />This is a second instance of the Lord's Great Commission to His Church. As in Matthew 28 the "ye" here is plural referring to the First Church, plus all others that stemmed from it. From the Church of Jerusalem sprang churches in Judaea, and in Samaria and on out to Antioch, and Antioch continued witnessing on out to many other places. A daily connection is clearly seen. The Church a Philippi was the offspring of the Church at Antioch, and Antioch was the offspring of the Church in Jerusalem. That is the way it has been to this day also. Another aspect of the Great Commission in Acts 1:8 is that a single church is to be witnesses unto Christ both locally and in other places simultaneously. This can only be done by sending missionaries out from the church. When new churches are planted it is a chain link succession.<br /><br />2. "... Peace be unto you: as my Father hath sent me, even so send I you. And when he had said this, he breathed on them, and saith unto them, Receive ye the Holy Ghost: Whose soever sins ye remit, they are remitted unto them; and whose soever sins ye retain, they are retained." (John 20:21-23)<br /><br />This is a third instance of the Lord giving the Great Commission to His Church. As in Matthew 28 the "you" here is plural referring to the First Church, plus all others that originated from it. In this passage the Lord gives His Church spiritual life with the breath of God (cf. Gen 2:7, John 3:8, 2 Tim 3:16, 1 Pet 1:23, Heb 4:12). Living things produce living things. The remitting and retaining of sins is of course in accordance with Scripture for the church is sent even as the Father send the Lord Jesus. Where the Lord Jesus said, "as my Father hath sent me, even so send I you," He was referring to the fact that He was the Heavenly Father's "Apostle" (Heb 3:1). In John 13:16 the Lord said, "... The servant is not greater than his lord; neither he that is sent greater than he that sent him."The phrase "he that is sent" comes from a single Greek word which is most often transliterated "apostle." It means someone who is authorized and sent forth to act on the behalf of another. An apostle is a deputy, an agent, a delegate. Christ had already ordained His apostles individually (Mark 3:14) before John 20:21. Here in John 20:21 the Lord Jesus Christ is authorizing the Church as His missionary sending agency. A more Scriptural word for missionary is "messenger." It is used twice in the Bible (2 Cor 8:23; Phil 2:25) and comes from the same Greek word that is translated "he that is sent" and apostle. There are 3 kinds of apostles in the Bible: 1) the Apostle of the Father, 2) the apostles of Jesus Christ, and 3) apostles of the churches. The fact there are apostles or messengers of the churches is seen in Acts 14:14 which calls both Barnabas and Paul apostles. Barnabus was an apostle of the church of Antioch, not an apostle after the order of the 12 like Paul. Again Paul includes Silvanus, and Timotheus (1 Thess 1:1) as "apostles of Christ" (1 Thess 2:6), because they were church sent apostles. Barnabus, Silvanus and Timothy were authorized by Christ by way of His Church.<br /><br />3. "Teach... them to observe all things whatsoever I have commanded you ..." (Matt 28:20)<br /><br />Who here is commissioned to teach? The Church has been authorized to teach to "observe" all things whatsoever the Lord has commanded. First and foremost this means that the church is to watch over, keep, preserve the Word of God and secondly to do it. That is the clear meaning. What is the church to teach to observe concerning the Church? First and foremost, Jesus said, "I will build My church," not Origen will, nor Constintine, nor Luther, nor Wesley, nor Campbell, nor Hudson, but Jesus will build His church! A man cannot build the Lord's church, except by the apostolic (NT) authority that He vested in His church to keep. A man made church is on the wrong foundation, just as a man made salvation is.<br /><br />4. "... thou oughtest to behave thyself in the house of God, which is the church of the living God, the pillar and ground of the truth." (1 Tim 3:15)<br /><br />This is not only authority, but also responsibility. As the "the pillar and ground of the Truth," the church, of necessity, must continue perpetually as the caretakers of "the oracles of God" like Israel before us (Rom 3:1-2).<br /><br />5. "To whom coming, as unto a living stone, disallowed indeed of men, but chosen of God, and precious, Ye also, as lively stones, are built up a spiritual house, an holy priesthood, to offer up spiritual sacrifices, acceptable to God by Jesus Christ." (1 Pet 2:4-5)<br /><br />In Matthew 16:18 Jesus said, "I will build my church." It is built out of "lively stones," that is it is alive. "The house of God, which is the church of the living God" (1 Tim 3:15) is "a spiritual house" (1 Pet 2:5). This spiritual house is the local church which administers the ordinances, discipline erring members and observe the Word of God. The local church as a living thing propagates itself.<br /><br />6. "Wives, submit yourselves unto your own husbands, as unto the Lord. For the husband is the head of the wife, even as Christ is the head of the church: and he is the saviour of the body. Therefore as the church is subject unto Christ, so let the wives be to their own husbands in every thing." (Eph 5:22-24)<br /><br />Similarly to the way Adam and Eve were commissioned by God in these words, "Be fruitful, and multiply, and replenish the earth" (Gen 1:28), so likewise the Lord and His wife, the church, produce not only converts, but new churches.<br /><br />7. "Now there were in the church that was at Antioch certain prophets and teachers .... As they ministered to the Lord, and fasted, the Holy Ghost said, Separate me Barnabas and Saul for the work whereunto I have called them. And when they had fasted and prayed, and laid their hands on them, they sent them away. So they, being sent forth by the Holy Ghost, departed ... And when they were at Salamis, they preached the word of God in the synagogues of the Jews ... they came to Antioch in Pisidia, and went into the synagogue on the sabbath day, and sat down. ... And the next sabbath day came almost the whole city together to hear the word of God. ... They were ... [in] Lystra and Derbe, cities of Lycaonia, and unto the region that lieth round about: And there they preached the gospel. ... [and after Paul healed] a cripple from his mother's womb, ... they called Barnabas, Jupiter; and Paul, Mercurius, because he was the chief speaker. Then the priest of Jupiter, which was before their city, brought oxen and garlands unto the gates, and would have done sacrifice with the people. Which when the apostles, Barnabas and Paul, heard of, they rent their clothes, and ran in among the people, crying out, And saying, Sirs, why do ye these things? We also are men of like passions with you, and preach unto you that ye should turn from these vanities unto the living God, which made heaven, and earth, and the sea, and all things that are therein .... [Paul] departed with Barnabas to Derbe. And when they had preached the gospel to that city, and had taught many, they returned again to Lystra, and to Iconium, and Antioch, Confirming the souls of the disciples, and exhorting them to continue in the faith, and that we must through much tribulation enter into the kingdom of God. And when they had ordained them elders in every church, and had prayed with fasting, they commended them to the Lord, on whom they believed. ... And when they had preached the word in Perga, they went down into Attalia: And thence sailed to Antioch, from whence they had been recommended to the grace of God for the work which they fulfilled. And when they were come, and had gathered the church together, they rehearsed all that God had done with them, and how he had opened the door of faith unto the Gentiles. And there they abode long time with the disciples. ... Paul also and Barnabas continued in Antioch, teaching and preaching the word of the Lord, with many others also. And some days after Paul said unto Barnabas, Let us go again and visit our brethren in every city where we have preached the word of the Lord, and see how they do .... and so Barnabas took Mark, and sailed unto Cyprus; And Paul chose Silas, and departed, being recommended by the brethren unto the grace of God. And he went through Syria and Cilicia, confirming the churches. ... And as they went through the cities, they delivered them the decrees for to keep, that were ordained of the apostles and elders which were at Jerusalem. And so were the churches established in the faith, and increased in number daily." (Acts 13:1-5, 14, 44, 14:6-8, 12-15, 20-23, 25-28; 15:35-36, 39-41, 16:4-5)<br /><br />Let's examine these passages in Acts chapters 13 through 16 a bit: Where it says, "there were IN THE CHURCH that was at Antioch" (Acts 13:1) it indicates that church services were going on there. We are not told if it was the whole church or only the five "prophets and teachers" that "ministered to the Lord, and fasted" in the services when the Holy Ghost called Barnabas and Paul to missionary service, or who exactly "laid their hands on them" (Acts 13:2-3). However, we can rest assured that the church along with it's leaders were in agreement with the Holy Ghost in this missionary endeavor. When Barnabas and Paul were "sent forth by the Holy Ghost" (Acts 13:4) the church at Antioch gladly "sent them away" (Acts 13:3). Just as John 15:26-27 says, both "the Spirit of truth" "shall testify" and "ye" (the church) "shall bear witness." As "the apostles, Barnabas and Paul" (Acts 14:4) went on their soul winning and church planting mission they "ordained them elders in every church" (Acts 14:23) and returned "from whence they had been recommended to the grace of God for the work. And when they were come, and had gathered the church together, they rehearsed all that God had done with them" (Acts 14:26-27). Later they split into two mission teams "and departed, being recommended by the brethren unto the grace of God" (Acts 15:40). The word "recommended" goes hand in glove with the meaning of the word "apostle." An apostle is a delegate or ambassador sent forth with orders to act on the behalf of his sender (John 13:16; 2 Cor 5:20). "Recommend" means "to commit to the charge of another; to entrust; to endorse; to commend one to another as being worthy; etc." The churches were established by local church "apostles" (Acts 14:14) or "messengers" (Phil 2:25) who were authorized by God through an already established local church.<br /><br />The fact that power and authority was given by Christ to both His apostles and His church is seen in Matthew, John and Acts, and is verified by the plain language of 1st and 2nd Corinthians, Philippians, 1st Timothy and 1st Peter, etc.<br /><br />Someone may object to the Biblical principle of churches coming from churches based on the fact that John the Baptist did not have church authority to baptize. However, in John 3:29 the Baptist said, "He that hath the bride is the bridegroom: but the friend of the bridegroom, which standeth and heareth him, rejoiceth greatly because of the bridegroom's voice: this my joy therefore is fulfilled." The bridegroom, the bride, and the friend of the bridegroom are all types. The bridegroom is a picture of Christ, the bride represents the Church, and the friend of the bridegroom refers to John the Baptist. John as "the friend of the bridegroom" had no part in the Church. John closed out the Dispensation of Law (Luke 16:16). He was of the Old Testament economy handing the baton off to the New. Salvation is the same in every dispensation and comes only by grace through faith in the coming, present, or coming again seed of the woman, "the Lamb of God, which taketh away the sin of the world" (John 1:29). The Word of God and the teaching of salvation was committed to Israel and her prophets in the Dispensation of Law, but beginning with Christ who said "I will build My Church" it has been committed to "... the church of the living God, the pillar and ground of the Truth" (1 Tim 3:15). Although John the Baptist has no part in the Baptist Church, both he and we do preach the same message. We both preach: 1) Repentance for the remission of sins (Mark 1:4; Matt 3:2, 8, 11); 2) Faith in Jesus, "the Lamb of God, which taketh away the sin of the world" (John 1:29, 34, 36; Acts 19:4); 3) A symbolic water Baptism of believers by immersion (John 1:30-31, 3:23; Luke 7:29-30). We like he are Baptists, but John unlike us is of another dispensation and has no part in the Church.<br /><br />More important than understanding all of this is what has occurred continuously for 2000 years. One's salvation does not depend upon understanding it. Nonetheless, once demonstrated with Scripture it ought to be accepted not only as a Biblical principle that should practiced, but it should be believed with the heart.<br /><br />There are exceptions to the chain link principle, but that is just what they are, exceptions. The norm is for one church to come out of another church with the formers blessings. This is the case with every church mentioned in the Bible, and It is verifiable in history, although not church by church, but it is group by group. For example: Jesus started His church which after His departure headquartered in Jerusalem; the Apostle John went to Asia Minor and discipled Polycarp who pastored in Smyrna; Polycarp in turned discipled Irenaeus (2 Tim 2:2) who in 177 AD went to Lyons, France near Piedmont where the Vaudois or Waldenses flourished.<br /><br />A good number of Church Historians including Jarrel, Christian, Orchard, Newman, Ray, Broadbent, Carroll, Overbey, Nevins are on record as affirming the existence of the Waldensians prior to the time of Peter Waldo (1160 A D) of Lyons, France, who is attributed with originating them. These Waldensians believed in the Trinity, the deity of Christ, salvation by grace, a born again church membership, democratic church polity, etc. just like the Baptists of today. How could it be any other way since they preserved the Bible pure and based their faith and practice on it. They had a fervent evangelistic spirit and sent out missionaries all over Europe, translated the Bible into Latin as early as 157 AD and later into French, German and Flemish. Here are some quotes from a few historians on their sound church polity:<br /><br />1. Armitage says this of the Waldenses: "Waldensians ... insisted on a regenerate Church membership marked by baptism upon their personal faith. ... The Baptists of today and the original Waldensians have much in common. They ... followed the literal interpretation of Scripture; their priesthood was that of believers and not of a hierarchy; men renewed in heart and life. ..." [Thomas Armitage, A History of the Baptists, Watertown, Wisconsin, Baptist Heritage Press, 1988, pp. 304-305]<br /><br />2. Overbey says: "They also believed that the ordinances were only baptism and the Lord's supper and they were only symbolic, that only believers should be baptized, that baptism was by immersion, and that salvation and baptism were the requirements for church membership." [Edward Overbey, A Brief History of the Baptists, Little Rock, Challenge Press, 1974, p. 46]<br /><br />3. Jarrell states of them: "The Waldenses admitted the catechumeni after an exact instruction, a long fast in which the church united, to witness to them the concern they took in their conversion, and a confession of sins in token of contrition. The newly baptized were, the same day, admitted to the eucharist, with all the brethren and sisters present. Thus they, like Baptists, first instructed; second, baptized; third, being in the Church, admitted them to the supper. ..." [W.A. Jarrel, Baptist Church Perpetuity, Dallas, published by the author, 1894, p. 168]<br /><br />4. Ray says: "The Waldenses had pastors ordained by themselves. It is so generally admitted that the ancient Waldenses recognized the equality of their membership, as regards church privileges, that it is unnecessary to occupy much space on this point. ... It may be regarded as an established historic fact, that the ancient Waldenses possessed the Baptist peculiarity of religious equality in church membership. [David Burcham Ray, The Baptist Succession, Gallatin, Tennessee, Church History Research and Archives, 1984, pp. 332-333]<br /><br />5. Morland describes the Waldensian annual fellowship meetings: "As to their synodical constitutions, ... the barbes [pastors] assembled once a year, to treat of their affairs in a general council. An ... manuscript (the original thereof is to be seen with the rest in the University library of Cambridge, bearing date 1587) tells us that this council was constantly held in the month of September, and that some hundreds of years ago, there were seen assembled together in one synod held at Valone del Lauso in Val Clusone, no less than 140 barbes." [Samuel Morland, The History of the Evangelical Churches of the Valleys of Piemont, Gallatin, Tennessee, Church History Research and Archives, 1982, p. 183]<br /><br />6. Dr. A. H. Newman observes: "Waldenses ... ascribed to the local body of believers, or to the general assembly of the local bodies, the highest ecclesiastical powers." [W.A. Jarrel, Baptist Church Perpetuity, Dallas, published by the author, 1894, p. 180]<br /><br />7. Monastier states: "No hierarchical distinction was established; the only difference that existed between the pastors was that arising from age, or services performed, and personal respect." [Antoine Monastier, A History of the Vaudois Church, New York, Lane and Scott, 1849, p. 95]<br /><br />In the year 1819, Willem I (1772 - 1843), King of The Netherlands (1813 - 1840), commissioned Dr. Ypeij, Professor of the University of Gunningen, and Dr. J. J. Dermout, chaplain to the King to make a study of the history of their State Church. Dr. Ypeij and Dr. Dermout published a history, in four volumes, entitled, "History of the Reformed Church of the Netherlands" in which work they devote a chapter to the history of the Dutch Baptists. In it their impartial investigation they came to this conclusion:<br /><br />"We have now seen that the Baptists who were formerly called Anabaptist, and in later times Mennonites, were the original Waldenses. and who have long in the history of the church received the honor of that origin. On this account the Baptists may be considered as the only Christian society which has stood since the days of the apostles, and as a Christian society which has preserved pure the doctrines of the Gospel through all ages. The perfectly correct external and internal economy of the Baptist denomination tends to confirm the truth, disputed by the Romish Church, that the Reformation brought about in the sixteenth century was in the highest degree necessary, and at the same time goes to refute the erroneous notion of the Catholics, that their denomination is the most ancient." (Ypeij en Dermout, Geschiedenis der Nederlandsche Hervornude Kerk. Breda, 1819; See Encyclopedia of Religious Knowledge, Art. MENNONITES; also, the Southern Baptist Review, Vol. v, No. 1, Art. 1, for full translation of the chapter)<br /><br />"This testimony from the highest authority of the Dutch Reformed Church, through a Commission appointed by the King of the Netherlands, is a rare instance of liberality and justice to another denomination. It concedes all that Baptists have ever claimed in regard to the continuity of their history. On this account State patronage was tendered to the Baptists, which they politely, but firmly declined." (John T. Christian, A History of the Baptists, Texarkana, Tx, Bogard Press, 1922, Vol. 1, pp. 95, 96)<br /><br />Dermout and Ypeij did differentiate between the Baptists who accepted the designation of Anabaptists (rebaptizers) and the Baptists who rejected it. Biblically Catholic and Protestant baptisms are not valid Scriptural Baptism and thus Baptists began to reject the name Anabaptist. In must be remembered that Anabaptist is a name given to us by our enemies. Dermout and Ypeij were supported in this conclusion by "The New Royal Encyclopedia" in an article entitled, Anabaptists:<br /><br />"Their coincidence with some of those oppressed and infatuated people in denying baptism to infants, is acknowledged by the Baptists, but they disavow the practice which the appellation of Anabaptists implies; and their doctrines seem referable to a more ancient and respectable origin. They appear supported by history in considering themselves the descendants of the Waldenses, who were so grievously oppressed and persecuted by the despotic heads of the Romish hierarchy." (Wm. H. Hall, Esq., The New Royal Encyclopedia, London, 1788, Art. ANABAPTISTS)<br /><br />This Baptist view of administering Scriptural baptism to Catholics and Protestants is Landmarkism.<br /><br />"And it is a curious and instructive fact that the Anabaptist churches of the Reformation period were most numerous precisely where the Waldenses of a century or two previous had flourished ..." [Edward Overbey, A Brief History of the Baptists, Little Rock, Challenge Press, 1974, p. 49]<br /><br />The Waldenses Baptists planted churches after the order of Christ's, because they were the offspring of Christ. They won souls and planted churches all over Europe. All the way from Piemont in Italy and France to England (Walter Lollard), to the Netherlands, Germany, Poland, Bohemia, etc.<br /><br />I believe in chain link transmission of churches because it is required by Christ in Matthew 28, John 20 and Acts 1, it is the exemplified for us especially in Acts 8 and 13 through 16, and it is the teaching of the tenor of the New Testament. It can't be any other way. The teaching is verified in history, especially Waldensian history. These had the New Testament, knew what Matthew 28:18-20 and John 20:21-23 meant and did what is said. They were no different from Baptists today in faith and practice. They had apostolic (New Testament) authority from the first century, which said go start churches after our missionary model, and that they did. Moreover, we are still doing it 2000 years later. Today some Baptists think they are Protestants, but that does not change the fact that they are not. Some Baptists knowing the facts are bound by their own consciences to stand up for the teachings of Landmark Bible Baptists.JohnBaptistHenryhttp://www.blogger.com/profile/02868801750545362821noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6362001047782108830.post-70452005615575751372007-06-19T21:15:00.000-07:002011-05-20T10:09:35.915-07:00The Nature of the ChurchThe Lord Jesus established only one kind of church on this earth, but it is no way resembles the Roman Catholic Whore of Revelation 17 which originated with the Roman Emperor Constantine when he first married the State to the already apostate Church of Rome in the early 4th Century AD.<br /><br />The church that Christ started during His earthly sojourn was not Catholic (universal), but was local. The only churches that were apostolic were the ones started by the apostles. Popes ate not apostles; they are false teachers (2 Pet 2:1-3). The local church was commissioned thusly by Christ Jesus who is the Almighty and who has all power. He told His church:<br /><br />"Go ye therefore, and teach all nations, baptizing them in the name of the Father, and of the Son, and of the Holy Ghost: Teaching them to observe all things whatsoever I have commanded you: and, lo, <b>I am with you alway, even unto the end of the world. Amen</b>." (Matt 28:19-20)<br /><br />Those words of our Lord, "I am with you [the church] alway, even unto the end of the world," guaranteed the continuance of the same kind of church that Jesus started with the same New Testament doctrines until His second coming. The Lord's church has "observed" (guarded and practiced) "all" of God's Word since that time till now. Jesus Christ built "... the house of God, which is the church of the living God, the pillar and ground of the Truth" (1 Tim 3:15; cf. John 17:17), and its doctrines certainly have nothing to do with Roman Catholicism. The first pillar of the church is the free gift of salvation by the grace of God through faith in Christ's blood atonement for the sinner and His resurrection from the dead to guarantee eternal salvation from Hell (1 Pet. 1:18-21; Eph 2:8-9; Rom. 3:20-26, 5:8-10, 6:23; Heb 7:25; 1 Tim. 2:5; Rev. 20:14-15; John 3:36; 1 John 4:10, 5:10-12). This and many other Bible truths are denied by the Roman Catholic Church.<br /><br />"Unto Him be glory in the church by Christ Jesus throughout all ages, world without end. Amen." (Eph. 3:21)JohnBaptistHenryhttp://www.blogger.com/profile/02868801750545362821noreply@blogger.com0