Wednesday, February 16, 2011

เป้าหมายของพระเจ้าสำหรับมนุษย์ทุกคน

พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เพราะเรารู้เป้าหมายที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นเป้าหมายเพื่อสันติภาพ ไม่ใช่เพื่อความชั่ว เพื่อจะให้อนาคตตามที่คาดหมายไว้แก่เจ้ า( เยเรมีย์ 29:11)
ก่อนสิ่งอื่นใดข้าพเจ้าขอยกย่ององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่พระองค์ทรงมีแผนการที่ดีต่อมนุษย์ทุกคน ข้าพเจ้าเชื่อว่าหลายคนยังไม่ทราบถึงการทรงสร้างของพระเจ้า และไม่รู้ว่าทำไมมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และผลของความบาปนั้นคือความตาย (นรก) ข้าพเจ้าหวังว่าท่านผู้อ่านทุกท่านจะได้รับพระพร ไม่มากก็น้อยหลังที่อ่านหนังสือเล่มนี้ ขอพระเจ้าอวยพรแก่ท่าน เพื่อท่านจะได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น

ใครเป็นอยู่ก่อนที่จะมีโลกนี้
ในเริ่มแรกนั้นพระวาทะทรงเป็นอยู่แล้ว และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า ในเริ่มแรกนั้นพระองค์นั้นทรงอยู่กับพระเจ้า (ยอห์น 1:1-2)
ก่อนที่โลกนี้จะถูกสร้างขึ้นมา มีผู้หนึ่งเป็นอยู่ก่อนแล้วนั่นคือพระวาทะ หรือที่เราเรียกว่า พระเยซู ฉะนั้นผู้ที่สร้างโลกนี้จะต้องเป็น “ พระผู้สร้าง”

สรรพสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเองได้หรือ?
คำสอนตามวิทยาศาสตร์ปัจจุบันนี้สอนเราว่า โลกนี้มีวิวัฒนาการตามธรรมชาติ ทำให้เข้าใจว่ามนุษย์พัฒนามาจากลิง พญามารหรือที่เราเรียกว่า ซาตาน พยายามล้างสมองของมนุษย์ โดยพยายามแทรกเข้าไปในการเรียน สื่อต่างๆ เช่นโทรทัศน์ วิทยุ ใบโฆษณา หนัง การ์ตูนเด็ก ที่ซาตานหรือที่เราเรียกว่า ผู้ขัดขวางงานของพระเจ้า ทำเช่นนี้ เพราะกลัวมนุษย์จะมาถึงความจริง นั่นคือ “ความรอดนั่นเอง” ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บอกว่า ในเริ่มแรกนั้นพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้า และแผ่นดินโลก (ปฐมกาล 1:1)
พระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมา และในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระองค์ (ยอห์น 1:3)
สรุปฉะนั้นผู้ที่สร้างโลกนี้ คือ พระเจ้านั่นเอง


ในเริ่มแรกนั้นโลกนี้บริสุทธิ์ และมนุษย์ไม่มีบาป บาปเกิดจากอะไร เริ่มมีบาปเมื่อไหร่?
พระเยโฮวาห์พระเจ้าจึงทรงมีพระดำรัสสั่งมนุษย์นั้นว่า "บรรดาต้นไม้ทุกอย่างในสวนเจ้ากินได้ทั้งหมด แต่ต้นไม้แห่งความรู้ดีและรู้ชั่วเจ้าอย่ากินผลจากต้นนั้นเป็นอันขาด เพราะว่าเจ้ากินในวันใด เจ้าจะตายแน่ในวันนั้น" (ปฐมกาล 2:16-17)

มนุษย์ล้มลงในความบาป
งูนั้นเป็นสัตว์ที่ฉลาดกว่าบรรดาสัตว์ ในท้องทุ่งซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าได้ทรงสร้างไว้ มันกล่าวแก่หญิงนั้นว่า "จริงหรือที่พระเจ้าตรัสว่า `เจ้าอย่ากินผลจากต้นไม้ทุกชนิดในสวนนี้'" หญิงนั้นจึงกล่าวแก่งูว่า "ผลของต้นไม้ชนิดต่างๆในสวนนี้เรากินได้ แต่ผลของต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งอยู่ท่ามกลางสวน พระเจ้าตรัสว่า `เจ้าอย่ากินหรือแตะต้องมัน มิฉะนั้นเจ้าจะตาย'" งูจึงกล่าวแก่หญิงนั้นว่า "เจ้าจะไม่ตายแน่ เพราะว่าพระเจ้าทรงทราบว่า เจ้ากินผลไม้นั้นวันใด ตาของเจ้าจะสว่างขึ้นวันนั้น และเจ้าจะเป็นเหมือนพระที่รู้ดีรู้ชั่ว" เมื่อหญิงนั้นเห็นว่า ต้นไม้นั้นเหมาะสำหรับเป็นอาหารและมันงามน่าดู และต้นไม้ต้นนั้นเป็นที่น่าปรารถนาเพื่อให้เกิดปัญญา หญิงจึงเก็บผลไม้นั้นแล้วกินเข้าไป แล้วส่งให้สามีของนางด้วย และเขาได้กิน ตาของเขาทั้งสองก็สว่างขึ้น เขาจึงรู้ว่าเขาเปลือยกายอยู่ และเขาทั้งสองก็เอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดอวัยวะส่วนล่างของเขาไว้ (ปฐมกาล3:1-7)

พระเจ้าสาปแช่งเพราะมนุษย์ทำความบาป
พระองค์ตรัสแก่หญิงนั้นว่า "เราจะเพิ่มความทุกข์ยากให้มากขึ้นแก่เจ้าและการตั้งครรภ์ของเจ้า เจ้าจะคลอดบุตรด้วยความเจ็บปวด เจ้ายังต้องการสามีของเจ้า และเขาจะปกครองเจ้า " (ปฐมกาล3:16)

พระองค์ตรัสแก่อาดัมว่า "เพราะเหตุเจ้าได้ฟังเสียงของภรรยาเจ้า และได้กินผลจากต้นไม้ ซึ่งเราได้สั่งเจ้าว่า เจ้าอย่ากินผลจากต้นนั้น แผ่นดินจึงต้องถูกสาปแช่งเพราะตัวเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินนั้นด้วยความทุกข์ยากตลอดวันเวลาในชีวิตของเจ้า"
(ปฐมกาล3:17)

ความบาปทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าถูกตัดขาด
แต่ว่าความชั่วช้าของเจ้าทั้งหลายได้กระทำให้เกิดการแยกระหว่างเจ้ากับพระ เจ้าของเจ้า และบาปของเจ้าทั้งหลายได้บังพระพักตร์ของพระองค์เสียจากเจ้า พระองค์จึงมิได้ยิน (อิสยาห์59:2)
เหตุฉะนั้นพระเยโฮวาห์พระเจ้าจึงทรงให้เขาออกไปจากสวนเอเดน เพื่อทำไร่ไถนาจากที่ดินที่เขากำเนิดมานั้น ดังนั้นพระองค์ทรงไล่มนุษย์ออกไป ทรงตั้งพวกเครูบไว้ทางทิศตะวันออกของสวนเอเดน และตั้งดาบเพลิงซึ่งหมุนได้รอบทิศทาง เพื่อป้องกันทางเข้าไปสู่ต้นไม้แห่งชีวิต (ปฐมกาล3:23-24)

ความบาปทำให้สิ่งต่างๆในโลกนี้อยู่ในกฎของเสื่อมพลังงาน ชีวิตมนุษย์ถูกจำกัดไม่เกิน 120 ปี
เหตุฉะนั้นเช่นเดียวกับที่บาปได้เข้ามาในโลกเพราะคนๆเดียว และความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป (โรม5:12)

เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานของพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา (โรม6:23)

พระเยโฮวาห์ตรัสว่า "วิญญาณของเราจะไม่วิงวอนกับมนุษย์ตลอดไป เพราะเขาเป็นแต่เนื้อหนัง อายุของเขาจะเพียงแค่ร้อยยี่สิบปี" (ปฐมกาล6:3)

พระองค์ตรัสแก่อาดัมว่า "เพราะเหตุเจ้าได้ฟังเสียงของภรรยาเจ้า และได้กินผลจากต้นไม้ ซึ่งเราได้สั่งเจ้าว่า เจ้าอย่ากินผลจากต้นนั้น แผ่นดินจึงต้องถูกสาปแช่งเพราะตัวเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินนั้นด้วยความทุกข์ยากตลอดวันเวลาในชีวิตของเจ้า"
(ปฐมกาล3:17)

เมื่อโนอาห์มีชีวิตอยู่ได้หกร้อยปี ในเดือนที่สอง วันที่สิบเจ็ดของเดือนนั้น ในวันเดียวกันนั้นเอง น้ำพุทั้งหลายที่อยู่ที่ลึกใต้บาดาลก็พลุ่งขึ้นมา และช่องฟ้าก็เปิดออก (ปฐมกาล7:11)
ฉะนั้นคนในสมัยก่อนมีอายุยืนมาก ตั้งแต่พระเจ้าเปิดช่องฟ้าออก และน้ำพุที่อยู่ลึกพลุ่งขึ้นมา ทำให้โลกเริ่มร้อนขึ้น มนุษย์เริ่มแก่ไวขึ้น อายุของมนุษย์จึงสั้นลง

แต่พระเจ้าทรงรักมนุษย์และทำเสื้อหนังสัตว์ให้แก่อาดัม-เอวา
พระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงทำเสื้อคลุมด้วยหนังสัตว์แก่อาดัมและภรรยาและสวมใส่ให้เขาทั้งสอง (ปฐมกาล3:21) ท่านทราบไหมว่า เสื้อหนังสัตว์นั้นเล็งถึง พระเยซูคริสต์ที่จะต้องตายเพื่อมนุษย์ทุกคน ฉะนั้นสิ่งที่อาดัมและเอวาทำเพื่อปกปิดร่างกายของตนจากใบมะเดื่อนั้น ไม่มั่นคง เพราะใบไม้นั้นเหี่ยวและแห้งไป เปรียบถึงความดีของมนุษย์ที่ทำขึ้นนั้นไม่มั่นคง เพราะทำบุญแล้วก็กลับไปทำบาปอีก

มีหนทางใดบ้าง ที่จะช่วยมนุษย์ได้กลับคืนดีกับพระเจ้า และได้มีชีวิตนิรันดร์
เพราะว่าพระ เจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมา เพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ (ยอห์น3:16)
เพราะพระเจ้ารู้ว่ามนุษย์ มนุษย์ทุกคนทำบาป ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ พระเจ้าทรงมีแผนการที่ดี เพราะพระองค์รู้ว่า ถ้าอาดัมและเอวาเลือกที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า และผลของความบาปของมนุษย์คือความตาย พระองคจึงได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์คือพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดให้กับมนุษย์ทุกคนในโลก โดยยอมตายบนไม้กางเขน เพื่อรับโทษบาปของมนุษย์ทุกคน
พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา (ยอห์น 14:6)

แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เราเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นบาปแล้ว พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญา โดยความเชื่อในพระโลหิตของพระองค์ เพื่อสำแดงให้เห็นความชอบธรรมของพระองค์ในการที่พระเจ้าได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น (โรม3:24)

แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา บัดนี้เราจึงเป็นคนชอบธรรมแล้วโดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งกว่านั้น เราจะพ้นจากพระพิโรธโดยพระองค์ เพราะว่าถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรู เราได้กลับคืนดีกับพระเจ้าโดยที่พระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์ ยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อเรากลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอดโดยพระชนม์ชีพของพระองค์แน่ มิใช่เพียงเท่านั้น แต่เราทั้งหลายยังชื่นชมยินดีในพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็น เจ้าของเรา เพราะโดยพระองค์นั้นเดี๋ยวนี้เราจึงได้กลับคืนดีกับพระเจ้า (โรม 5:8-11)

ต้อนรับพระเยซูคริสต์อย่างไร
คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจของท่านว่าพระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด ด้วยว่าความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด (โรม 10:9-10)

ถ้าท่านอยากต้อนรับพระเยซูคริสต์ อธิษฐานตามดังต่อไปนี้
“ข้าแต่พระบิดาเจ้า ข้าพเจ้าเป็นคนบาป ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ขอขอบคุณองค์พระเยซูคริสต์ที่ได้ตายแทนความบาปของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเชื่อว่า พระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ข้าพเจ้าขอติดตามพระองค์ไปตลอดชีวิตของข้าพเจ้า อธิษฐานในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน”

ท่านได้เข้าสู่ครอบครัวของพระเจ้าแล้ว
เหตุฉะนั้นเมื่อเราเป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่โดยความเชื่อ และเราชื่นชมยินดีในความหวังใจว่าจะได้มีส่วนในสง่าราศีของพระเจ้า (โรม5:1-2)

ด้วยว่าพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงนำพาคนหนึ่งคนใด คนเหล่านั้นก็เป็นบุตรของพระเจ้า เหตุว่าท่านไม่ได้รับนิสัยอย่างทาสซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทรงให้เป็นบุตรซึ่งให้เราทั้งหลายร้องเรียกพระ เจ้าว่า "อับบา" คือพระบิดา พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับจิตวิญญาณของเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า และถ้าเราทั้งหลายเป็นบุตรแล้ว เราก็เป็นผู้รับมรดกคือเป็นผู้รับมรดกของพระเจ้า และเป็นผู้รับมรดกร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเราทั้งหลายทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์นั้น ก็เพื่อเราทั้งหลายจะได้สง่าราศีด้วยกันกับพระองค์ด้วย (โรม8:14-17)

เมื่อท่านได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้วท่านควรร่วมประชุมที่โบสถ์ทุกวันอาทิตย์
ซึ่งเราเคยประชุมกันนั้นอย่าให้หยุด เหมือนอย่างบางคนเคยกระทำนั้น แต่จงเตือนสติกันและกัน และให้มากยิ่งขึ้นเมื่อท่านทั้งหลายเห็นวันเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว ( ฮีบรู10:25)

ผู้เชื่อเป็นบุตรของพระเจ้า (1ยน.3:1-10)
จงดูเถิด พระบิดาทรงโปรดประทานความรักแก่เราทั้งหลายเพียงไร ที่เราจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า เหตุที่โลกไม่รู้จักเราทั้งหลาย ก็เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์ ท่านที่รักทั้งหลาย บัดนี้เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า และยังไม่ปรากฏว่าต่อไปเบื้องหน้าเราจะเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าเมื่อพระองค์เสด็จมาปรากฏนั้น เราทั้งหลายจะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะว่าเราจะเห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น และทุกคนที่มีความหวังเช่นนี้ในพระองค์ ก็ย่อมชำระตนให้บริสุทธิ์เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์ ผู้ใดที่กระทำบาปก็ละเมิดพระราชบัญญัติด้วย เพราะความบาปเป็นสิ่งที่ละเมิดพระราชบัญญัติ
ท่านทั้งหลายก็รู้อยู่แล้วว่า พระองค์ได้ทรงปรากฏเพื่อนำบาปทั้งหลายของเราไปเสีย และบาปในพระองค์ไม่มีเลย

จงระวัง "มนุษย์เก่า" ที่ยังคงทำบาปอยู่
คนใดที่อาศัยอยู่ในพระองค์ คนนั้นไม่กระทำบาป ผู้ใดที่กระทำบาป ผู้นั้นยังไม่ได้เห็นพระองค์ และยังไม่ได้รู้จักพระองค์
ลูกเล็กๆทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้ใครชักจูงท่านให้หลง ผู้ที่ประพฤติการชอบธรรมก็เป็นผู้ชอบธรรม เหมือนอย่างพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม ผู้ที่กระทำบาปก็มาจากพญามาร เพราะว่าพญามารได้กระทำบาปตั้งแต่เริ่มแรก พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏก็เพราะเหตุนี้ คือเพื่อทรงทำลายกิจการของพญามารเสีย ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้า ผู้นั้นไม่กระทำบาป เพราะเมล็ดของพระองค์ดำรงอยู่ในผู้นั้น และเขากระทำบาปไม่ได้ เพราะเขาบังเกิดจากพระเจ้า ดังนี้แหละจึงเห็นได้ว่าผู้ใดเป็นบุตรของพระเจ้า และผู้ใดเป็นลูกของพญามาร คือว่าผู้ใดที่มิได้ประพฤติตามความชอบธรรม และไม่รักพี่น้องของตน ผู้นั้นก็มิได้มาจากพระเจ้า
ขอพระเจ้าทรงอวยพรแก่ท่านผู้อ่านทุกท่าน

No comments: