Wednesday, January 12, 2011

ความจริง 39 อย่าง
เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่บันทึกในพระคัมภีร์

เกี่ยวกับ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ ชีววิทยา
การแพทย์และสาธารณสุข พันธุศาสตร์



แปลโดยคริสตจักรพระวาทะแบ๊พติสท์หนองคาย
ความจริง 10 อย่างเกี่ยวกับ ดาราศาสตร์
1. พระคัมภีร์บอกว่าแผ่นดิน โลกลอยอยู่ในอวกาศ แต่ ศาสนาบางศาสนากล่าวว่าโลกอยู่ บนหลังช้างหรือเต่า, หรือแอทลัส แบกอยู่ (Atlas)
โยบ 26:7 : "พระองค์ทรงคลี่ทางเหนือ ออกคลุมที่เวิ้งว้าง และแขวนโลกไว้เหนือที่ว่างเปล่า"

2. พระคัมภีร์บอกเราว่าโลกเป็นวงกลม แต่ สมัยโบราณหลายคนคิดว่าโลกแบน
อิสยาห์ 40:22 : "คือพระองค์ผู้ประทับเหนือปริมณฑลของแผ่นดินโลก และชาวแผ่นดินโลกก็เหมือนอย่างตั๊กแตน ผู้ทรงขึงฟ้าสวรรค์เหมือนขึงม่าน และกางออกเหมือนเต็นท์ที่อาศัย" (ปริมณฑลแปลว่าวงกลม )

3. พระคัมภีร์คาดล่วงหน้าว่า แผ่นดินโลกที่วงกลมกำลังหมุนอยู่ เพราะว่า พระเยซูกล่าวว่าเมื่อพระองค์จะกลับมาบางแห่งจะเป็นเวลากลางคืน บางแห่งจะเป็นเวลากลางวัน ลูกา 17:34-36 : "เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในคืนวันนั้นจะมีชายสองคนนอนในที่นอนอันเดียวกัน จะทรงรับคนหนึ่ง จะทรงละคนหนึ่ง ผู้หญิงสองคนจะโม่แป้งด้วยกัน จะทรงรับคนหนึ่ง จะทรงละคนหนึ่ง ชายสองคนจะอยู่ในทุ่งนา จะทรงรับคนหนึ่ง จะทรงละคนหนึ่ง"

4. พระคัมภีร์บอกว่ามีมืดภายนอกตลอดกาล มีหลุมดำจริง นักจักรวาลวิทยารู้ว่ามีหลุมดำในอวกาศและสมมุติฐานว่า มีสสารดำและพลังดำประกอบในจักรวาลนี้เยอะ สนามโน้มถ่วงของหลุมดำแข็งแรงมากมาก กำลังดูดทุกอย่างเข้าไปข้างใน และไม่มีอะไรออกได้แม้กระทั่งแสงหลุดออกจากหลุมดำไม่ได้


มัทธิว 25:30 : "จงเอาเจ้าผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์นี้ไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ซึ่งที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน"
ยูดาห์ 13 : "เป็นคลื่นที่บ้าคลั่งในมหาสมุทร ที่ซัดฟองของความบัดสีของตนเองขึ้นมา เขาเป็นดาวที่ลอยลับไป เป็นผู้ที่ตกอยู่ในความมืดทึบตลอดกาล"

5. จำนวนของดวงดาวไม่สามารถที่จะนับได้ สมัยโบราณ เมื่อมองเห็นดาว ที่น้อยกว่า 5,000ดวง พระเจ้ากล่าวว่า “บริวารของฟ้าสวรรค์จะนับไม่ได้” ต่อมาประมาณ 2,000ปี ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 กาลิเลโอ ใช้กล้องจุลทรรศน์ใหม่ของเขา ส่องดูดาวมากมาย วันนี้นักดาราศาสตร์ประมาณว่ามีดาวจำนวน 1 ตามด้วย 25 ศูนย์ ( ten thousand billion trillion )
เยเรมีย์ 33:22 : "บริวารของฟ้าสวรรค์จะนับไม่ได้ และเม็ดทรายที่ทะเลก็ตวงไม่ได้ฉันใด เราก็จะให้เชื้อสายของดาวิดผู้รับใช้ของเราและคนเลวีผู้ปรนนิบัติของเราทวีมากขึ้นฉันนั้น"

6. จำนวนดาว, มากมาย แต่มีจำกัด แม้ว่ามนุษย์จะไม่สามารถคำนวณตัวเลขที่แน่นอนของดาวแต่เดี๋ยวนี้เรารู้ว่า ดาวมีจำกัด
อิสยาห์ 40:26 : "จงแหงนหน้าขึ้นดูว่า ผู้ใดสร้างสิ่งเหล่านี้ พระองค์ผู้ทรงนำบริวารออกมาตามจำนวน เรียกชื่อมันทั้งหมดโดยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ และเพราะพระองค์ทรงฤทธิ์เข้มแข็งจึงไม่ขาดไปสักดวงเดียว"

7. พระคัมภีร์เปรียบเทียบจำนวนของดวงดาวที่มีจำนวนเม็ดทรายบนชายฝั่งทะเล คาดการว่าจำนวนเม็ดทรายเท่ากับดวงดาวในจักรวาล
ปฐมกาล 22:17 : "เราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองศัตรูของเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์" (ดูฮีบรู 11:12 ด้วย )

8. จักรวาลกำลังขยายตัว พระเจ้ากล่าวหลายครั้งว่าพระองค์ทรงขึงท้องฟ้าออก ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นักวิทยาศาสตร์ส่วนมาก รวมถึง ( เอาด์เบิด ไอสตายน์ ด้วย ) เชื่อว่าจักรวาลคงที่ แต่ว่าบางคน เชื่อว่าจักรวาลกำลังยุบลง เนื่องจากแรงโน้มถ่วง จากนั้นในปี 1929, นักดาราศาสตร์( เอดเวน ฮับเบิล) พบว่ากาแลคซี่กำลังถอยออกห่างจากโลก และ เมื่อกาแลคซี่ยิ่งออกห่างจากโลกก็ยิ่งเร็วขึ้น การค้นพบนี้ปฏิวัติวงการดาราศาสตร์ ไอสตายน์ ยอมรับความผิดของเขาและวันนี้นักดาราศาสตร์ส่วนมากเห็นด้วยกับสิ่งที่พระผู้สร้างบอกเรานับพันปีมาแล้ว คือ จักรวาลกำลังขยาย!
อิสยาห์ 42:5 : "พระเจ้า คือ พระเยโฮวาห์ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และทรงขึงมัน ผู้ทรงแผ่แผ่นดินโลกและสิ่งที่บังเกิดจากโลกออกไป ผู้ทรงประทานลมหายใจแก่ประชาชนที่บนโลก และจิตวิญญาณแก่ผู้ดำเนินอยู่บนโลก ตรัสดังนี้ว่า"
เยเรมีย์ 51:15 : "พระองค์ทรงสร้างโลกด้วยฤทธิ์เดชของพระองค์ พระองค์ทรงสถาปนาพิภพไว้ด้วยพระสติปัญญาของพระองค์ และทรงคลี่ท้องฟ้าออกด้วยความเข้าใจของพระองค์"
เศคารียาห์ 12:01 : "ภาระแห่งพระวจนะของพระเยโฮวาห์เกี่ยวด้วยเรื่องอิสราเอล พระเยโฮวาห์ผู้ทรงขึงท้องฟ้าออก และวางรากพิภพ และปั้นจิตวิญญาณให้มีอยู่ในมนุษย์ ตรัสว่า"

9. ดาวแต่ละดวงไม่ซ้ำกัน ศตวรรษก่อนการถือกำเนิดของกล้องจุลทรรศน์ที่พระคัมภีร์กล่าวว่าเฉพาะพระเจ้าและฑูตสวรรค์รู้ว่า ดวง ดาวแต่ละดวงแตกต่างกันในขนาดและความเข้ม!
1 โครินธ์ 15:41 : "สง่าราศีของดวงอาทิตย์ก็อย่างหนึ่ง สง่าราศีของดวงจันทร์ก็อย่างหนึ่ง สง่าราศีของดวงดาวก็อย่างหนึ่ง แท้ที่จริงสง่าราศีของดาวดวงหนึ่งก็ต่างกันกับสง่าราศีของดาวดวงอื่นๆ"

10. ดวงอาทิตย์โคจรรอบนอกของกาแลคซี่ของเรา ไปในวงจร เมื่อก่อนนักวิทยาศาสตร์บางคนเยาะเย้ย สดุดี 19:6 เพราะเขาคิดว่า ข้อนี้สอนว่าดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก (geocentric) พวกเขายืนยันว่าโลกอยู่กับที่ แต่ตอนนี้ เรารู้ว่าดวงอาทิตย์กำลังวิ่งเดินทางผ่านอวกาศประมาณ 600,000 ไมล์ต่อชั่วโมง ดวงอาทิตย์ เคลื่อนที่ในโคจรใหญ่มาก -- เช่นเดียวกับพระคัมภีร์ระบุ 3,000 ปีมาแล้ว!
สดุดี 19:6 : "ดวงอาทิตย์ขึ้นมาจากสุดปลายฟ้าสวรรค์ข้างหนึ่ง และโคจรไปถึงที่สุดปลายอีกข้างหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดสามารถซ่อนให้พ้นจากความร้อนของมันได้"


ความจริง 6 อย่างเกี่ยวกับ ฟิสิกส์
1. ธรรมชาติประกอบด้วยอะตอมและอนุภาค ที่ตาของเรามองไม่เห็น ( indiscernible) ในศตวรรษที่ 19 ที่จะพบว่าทุกเรื่องที่มองเห็นประกอบด้วยองค์ประกอบที่มองไม่เห็น

ฮีบรู 11:03 : "โดยความเชื่อนี้เอง เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น"

2. แสงสามารถแยกได้ เซอร์ไอแซค นิวตัน ศึกษาแสงและพบว่าแสงสีขาวทำจากเจ็ดสีซึ่งสามารถ แยกได้ และกลับมารวมกันอีกได้ วิทยาศาสตร์ยืนยันความจริงนี้สี่ศตวรรษมาแล้ว แต่ พระเจ้าประกาศเรื่องนี้สี่พันปีมาแล้ว!

โยบ 38:24 : "ทางที่จะไปสู่ที่ซึ่งความสว่างแจกจ่ายออกไปนั้นอยู่ที่ไหน หรือที่ซึ่งลมตะวันออกกระจายไปบนแผ่นดินโลกอยู่ที่ไหน"

3. แสงเดินทางในเส้นทาง ในโยบ 38:19 ใช้คำว่า “เส้นทาง” ซึ่งในภาษาฮีบรู เป็นคำว่า “ดีเรค” ซึ่งแปลตามตัวอักษรว่า “เส้นทางเดินทาง” เซอร์ไอแซค นิวตันคาดว่าแสงเป็นอนุภาคที่เดินเป็นเส้นทางตรง เดี๋ยวนี้นักวิทยาศาตร์รู้ว่าแสงเป็นคลื่นที่เกิดด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งวิ่งด้วยความเร็ว 186,000 ไมล์ต่อวินาทีในเส้นทางตรง

โยบ 38:19 : "ทางที่จะนำไปสู่สำนักของความสว่างอยู่ที่ไหน และส่วนที่มืด สถานที่นั้นอยู่ที่ไหน"

4. พระคัมภีร์กล่าวว่าแสงสามารถส่งไปแล้วปรากฏเป็นคำพูด ขณะนี้เรารู้ว่าคลื่นวิทยุและคลื่นแสงเป็นสองรูปแบบของสิ่งเดียวกัน คือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ดังนั้นคลื่นวิทยุเป็นรูปของแสงชนิดหนึ่ง วันนี้โดยเครื่องส่งสัญญาณวิทยุเราสามารถส่งคำพูดโดยทางฟ้าแลบได้

โยบ 38:35 : "เจ้าใช้ฟ้าแลบออกไปเพื่อให้มันไปและพูดกับเจ้าว่า ‘เราอยู่ที่นี่’ ได้ไหม"


5. อุณหพลศาสตร์ที่จัดตั้งขึ้น (เทอโมไดนามิกส์) กฎนี้ระบุว่าปริมาณรวมของพลังงานและสสารในจักรวาลมีค่าคงที่ รูปแบบหนึ่งของพลังงานหรือไม่ว่าอาจจะเปลี่ยนเป็นอื่น แต่ปริมาณรวมยังคงเหมือนเดิมเสมอ ดังนั้นการสร้างเสร็จสิ้นตรงตามที่พระเจ้ากล่าวไว้ในปฐมกาล

ปฐมกาล 2:1-2 : "ดังนี้ฟ้าและแผ่นดินโลกและบรรดาบริวารก็ถูกสร้างขึ้นให้สำเร็จ ในวันที่เจ็ดพระเจ้าก็เสร็จงานของพระองค์ซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างมาแล้วนั้น และในวันที่เจ็ดพระองค์ทรงพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์ซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างมาแล้วนั้น"

6. กฎที่สองของอุณหพลศาสตร์ (หรือเอนโทรฟี หรือ เรียกว่าการเสื่อมพลังงานก็ได้ ) เอนโทรฟีเป็นกฎที่บอกว่าทุกอย่างในจักรวาลกำลังเสื่อมลง เรื่อยๆ จากการเป็นระเบียบจนถึงไม่เป็นระเบียบ เอนโทรฟี (หรือการเสื่อม) เข้ามาเมื่อมนุษย์สองคนแรกไม่เชื่อฟังพระเจ้า และเป็นผลของการสาปแช่งของพระเจ้า (ปฐมกาล 3:17-19, โรม 8:20-22) เมื่อก่อนคนส่วนใหญ่เชื่อว่าจักรวาลไม่เปลี่ยนแปลง แต่ วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยืนยันว่าจักรวาลกำลังเสื่อม พระเจ้าตรัสว่า “ สิ่งเหล่านี้จะพินาศไป แต่พระองค์ทรงดำรงอยู่ สิ่งเหล่านี้จะเก่าไปเหมือนเครื่องนุ่งห่ม” (ฮีบรู 1:11) กฎที่สองแห่งอุณหพลศาสตร์เป็นกฎวิทยาศาสตร์ที่ทดลองมากที่สุด วิวัฒนาการทางธรรมชาติปฎิเสธความจริงกฎที่สองแห่งอุณหพลศาสตร์ เพราะว่าวิวัฒนาการทางธรรมชาติจำเป็นต้องพัฒนาขึ้นไม่ใช่เสื่อมลง

สดุดี 102:25-26 : "เมื่อเดิมพระองค์ทรงวางรากฐานของแผ่นดินโลก และฟ้าสวรรค์เป็นพระหัตถกิจของพระองค์ สิ่งเหล่านี้จะพินาศไป แต่พระองค์จะทรงดำรงอยู่ บรรดาสิ่งเหล่านี้จะเก่าไปเหมือนเครื่องนุ่งห่ม พระองค์จะทรงเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ไว้ดุจเสื้อคลุม และสิ่งเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนแปลงไป"

โรม 8:20-22 : "เพราะว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นต้องเข้าอยู่ในอำนาจของอนิจจัง ไม่ใช่ตามใจชอบของตนเอง แต่เป็นไปตามพระองค์ผู้ทรงบันดาลให้เข้าอยู่นั้นด้วยมีความหวังใจว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นจะได้รอดจากอำนาจแห่งความเปื่อยเน่า และจะเข้าในเสรีภาพซึ่งมีสง่าราศีแห่งบุตรทั้งหลายของพระเจ้าด้วย เรารู้อยู่ว่า บรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้น กำลังคร่ำครวญและผจญความทุกข์ลำบากเจ็บปวดด้วยกันมาจนทุกวันนี้"



ความจริง 8 อย่างเกี่ยวกับ ชีววิทยา
1. การอธิบายกฎแห่งเริ่มต้นชีวิต (ไบโอเจนิซิส) นักวิทยาศาสตร์สังเกตว่าสิ่งที่มีชีวิตมาจากสิ่งที่มีชีวิตอยู่แล้วเท่านั้น กฎนี้ไม่เคยละเมิดภายใต้การสังเกตหรือการทดลอง (ซึ่งจำเป็นในวิวัฒนาการทางธรรมชาติ) ดังนั้นชีวิตทั้งสิ้นมาจากพระเจ้า

ปฐม กาล 1:11, 20, 24 : "พระเจ้าตรัสว่า จงให้แผ่นดินเกิดต้นหญ้า ต้นผักที่มีเมล็ด และต้นไม้ที่ออกผลที่มีเมล็ดในผลตามชนิดของมันบนแผ่นดิน ก็เป็นดังนั้น ... พระเจ้าตรัสว่า จงให้น้ำอุดมบริบูรณ์ไปด้วยสัตว์ที่มีชีวิตแหวกว่ายไปมา และให้มีนกบินไปมาบนพื้นฟ้าอากาศเหนือแผ่นดินโลก ...พระเจ้าตรัสว่า จงให้แผ่นดินโลกเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่าบนแผ่นดินโลกตามชนิดของมัน ก็เป็นดังนั้น "

ปฐมกาล 2:7 : "พระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ทรงระบายลมปราณแห่งชีวิตเข้าทางจมูกของเขา และมนุษย์จึงเกิดเป็นจิตวิญญาณมีชีวิตอยู่"

2. โลกถูกออกแบบสำหรับชีวิตทางชีวภาพ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่าลักษณะพื้นฐานส่วนใหญ่ของโลกและจักรวาลของเรา ถ้าปรับบางอย่างนิดเดียว สิ่งที่มีชีวิตจะไม่สามารถอยู่ได้ หลักการนี้ เรียกว่า แอนโทรฟิค เพรนซิเพอล์ หลักการ (Anthropic Principal *) และเห็นด้วยกับพระคัมภีร์ที่ว่า ” พระองค์ทรงปั้นมัน [โลก] ไว้ให้มีการอาศัย” (* หลักการ Anthropic Principle ทางฟิสิกส์และ จักรวาลวิทยา, เป็นชื่อรวมสำหรับหลายวิธีในการยืนยันว่าข้อสังเกตของจักรวาลทางกายภาพต้องเข้ากันได้กับชีวิตที่สังเกตอยู่ในนั้น)

อิสยาห์ 45:18 : "เพราะพระเยโฮวาห์ ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ พระเจ้าเองทรงปั้นแผ่นดินโลกและทำมันไว้ พระองค์ทรงสถาปนามันไว้ พระองค์มิได้ทรงสร้างมันไว้ให้ยุ่งเหยิง พระองค์ทรงปั้นมันไว้ให้มีการอาศัย ตรัสดังนี้ว่า เราคือพระเยโฮวาห์ และไม่มีอื่นใดอีก"

3. พระเจ้าให้น้ำในการดำรงชีวิต ในปริมาณที่เหมาะสม ขณะนี้เรารู้ว่าถ้ามีน้ำมากเกินหรือน้อยเกินไปพอสมควร แผ่นดินโลกจะผดุงรักษาชีวิตไม่ได้

อิสยาห์ 40:12 : "ผู้ใดได้เคยตวงน้ำทั้งสิ้นด้วยอุ้งมือของตน และวัดฟ้าสวรรค์ด้วยคืบเดียว บรรจุผงคลีของแผ่นดินโลกไว้ในถังเดียว และชั่งภูเขาในตาชั่งและชั่งเนินด้วยตราชู"

4. ร่างกายมนุษย์ทำจากผงคลีดิน นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่าร่างกายมนุษย์ประกอบด้วย 28ธาตุ และทั้ง28ธาตุนั้นพบในผงคลีดิน

ปฐมกาล 2:7 : "พระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ทรงระบายลมปราณแห่งชีวิตเข้าทางจมูกของเขา และมนุษย์จึงเกิดเป็นจิตวิญญาณมีชีวิตอยู่"

ปฐมกาล 3:19 : "เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่อไหลโซมหน้าจนกว่าเจ้ากลับไปเป็นดิน เพราะเจ้ามาจากดิน เจ้าเป็นผงคลีดิน และเจ้าจะกลับไปเป็นผงคลีดิน"

5. ชีวิตเริ่มต้นที่การปฏิสนธิ พระเจ้าประกาศว่าพระองค์ทรงรู้จักเราก่อนที่เราจะเกิด พระคัมภีร์สอนว่าการฆาตกรรมมีโทษถึงตาย แม้แต่เด็กอยู่ในท้อง (อพยพ 21:22-23) เดี๋ยวนี้เรารู้ว่ามันเป็นความจริงตามชีววิทยา ที่ไข่ปฏิสนธิเป็นมนุษย์จริงๆแล้ว ไม่มีอะไรจะถูกเพิ่มอยู่ในเซลล์แรกยกเว้นอาหารและออกซิเจน

สดุดี 139:15 : "เมื่อข้าพระองค์ถูกสร้างอยู่ในที่ลับลี้ ประดิษฐ์ขึ้นมา ณ ภายในที่ลึกแห่งโลก โครงร่างของข้าพระองค์ไม่ปิดบังไว้จากพระองค์"

เยเรมีย์ 1:5 : "เราได้รู้จักเจ้าก่อนที่เราได้ก่อร่างตัวเจ้าที่ในครรภ์ และก่อนที่เจ้าคลอดจากครรภ์ เราก็ได้กำหนดตัวเจ้าไว้ เราได้แต่งตั้งเจ้าเป็นผู้พยากรณ์ให้แก่บรรดาประชาชาติ"


6. พระเจ้าทรงปั้นเราในครรภ์มารดา วิทยาศาสตร์ไม่รู้เกี่ยวกับการพัฒนาตัวอ่อน จนกระทั่งสมัยนี้ แต่ว่าสี่พันปีมาแล้ว พระคัมภีร์อธิบาย พระเจ้าสร้างเราสามัคคีซับซ้อนในมดลูก

โยบ 10:8-12 : "พระหัตถ์ของพระองค์ปั้นและทรงสร้างข้าพระองค์ ถึงกระนั้นพระองค์ทรงหันมาทำลายข้าพระองค์ ขอทรงระลึกว่าพระองค์ทรงสร้างข้าพระองค์ดุจดังดินเหนียว พระองค์จะทรงนำข้าพระองค์ให้กลับเป็นผงคลีดินอีกหรือ พระองค์มิได้ทรงเทข้าพระองค์ออกอย่างน้ำนม และทำข้าพระองค์ให้แข็งเหมือนเนยแข็งหรือ พระองค์ทรงห่มข้าพระองค์ไว้ด้วยหนังและเนื้อ และทรงสานข้าพระองค์ด้วยกระดูกและเส้นเอ็น พระองค์ทรงประสาทชีวิตและความเมตตาแก่ข้าพระองค์ และความดูแลรักษาของพระองค์ได้สงวนจิตวิญญาณข้าพระองค์ไว้"

สดุดี 139:16 : "พระเนตรของพระองค์ทรงเห็นส่วนประกอบของข้าพระองค์ในเมื่อยังไม่สมบูรณ์ ในวันทั้งหลายที่กำลังประกอบขึ้น เมื่อครั้งไม่เกิดขึ้น อวัยวะทั้งหลายของข้าพระองค์ก็ทรงจารึกไว้ในพระตำรับของพระองค์"

7. เมล็ดพืชมีชีวิตในตัวเอง ตามที่ระบุไว้ในหนังสือปฐมกาล เรายอมรับว่าเมล็ดพืชมีชีวิตในตัวเอง ภายในเมล็ดเป็นโรงงานเล็ก ๆ ของความซับซ้อนน่าอัศจรรย์ นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถสร้างเมล็ดสังเคราะห์ได้และเมล็ดทุกเมล็ดละเอียดซับซ้อน

ปฐมกาล 1:11-12 : "พระเจ้าตรัสว่า “จงให้แผ่นดินเกิดต้นหญ้า ต้นผักที่มีเมล็ด และต้นไม้ที่ออกผลที่มีเมล็ดในผลตามชนิดของมันบนแผ่นดิน ก็เป็นดังนั้น แผ่นดินก็เกิดต้นหญ้า ต้นผักที่มีเมล็ดตามชนิดของมัน และต้นไม้ที่ออกผลที่มีเมล็ดในผลตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี”

8. เมล็ดจะต้องตายเพื่อผลิตชีวิตใหม่ ใน ยอห์น12:24 คือการยืนยันที่โดดเด่นของสองแนวคิดพื้นฐานทางชีววิทยา 1) เซลล์เกิดขึ้นจากเซลล์ที่มีอยู่เท่านั้น 2) เมล็ดจะต้องตายเพื่อผลิตเมล็ดมากขึ้น เมล็ดที่ตกลงไปมีเปลือกซึ่งประกอบด้วยเซลล์ที่สนับสนุนภายใน และให้ชีวิตของพวกมัน เพื่อบำรุงเลี้ยงเมล็ดภายใน เมื่อปลูกแล้วเมล็ดภายในงอกขึ้น และส่งผลให้เกิดผลมาก

ยอห์น 12:24 : "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก"

1 โครินธ์ 15:36-38 : "ท่านคนเขลา เมล็ดที่ท่านหว่านลงนั้น ถ้าไม่ตายเสียก่อนแล้วจะงอกขึ้นใหม่ไม่ได้ เมล็ดข้าวที่ท่านหว่านนั้น จะเป็นข้าวสาลีหรือพืชอื่นๆก็ดี ท่านมิได้หว่านสิ่งที่เป็นรูปร่างของต้นที่จะงอกขึ้นมา แต่ได้หว่านเมล็ดเท่านั้น แต่พระเจ้าทรงประทานรูปร่างต้นของเมล็ดนั้นตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบ และทรงประทานรูปร่างแก่เมล็ดพืชทุกพรรณตามชนิดของมัน"

ความจริง 10 อย่างเกี่ยวกับ การแพทย์และสาธารณสุข
1. เลือดเป็นแหล่งของชีวิตและสุขภาพ กว่าร้อยปีที่ผ่านมาคนป่วย "ตั้งใจปล่อยเลือดไหล"เพราะคิดว่าจะช่วยเขาดีขึ้น แต่มีคนเสียชีวิตจำนวนมากเพราะเขาปล่อยเลือดมากเกินไป (อย่างเช่น จอร์ช วอชิงตัน) ทุกๆวันนี้เรารู้ว่าจำเป็นต้องมีเลือดที่ดี เพื่อนำสารอาหารถึงเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย พระเจ้าประกาศว่า "ชีวิตของเนื้อหนังอยู่ในเลือด" ประมาณ 3,000ปี ก่อนวิทยาศาสตร์รู้เรื่องนี้ พระเจ้าให้โมเสสบันทึกไว้ในพระคัมภีร์

เลวีนิติ 17:11, 14 : "เพราะว่าชีวิตของเนื้อหนังอยู่ในเลือด เราได้ให้เลือดแก่เจ้าเพื่อใช้บนแท่น เพื่อกระทำการลบมลทินบาปแห่งจิตวิญญาณของเจ้า เพราะว่าเลือดเป็นที่ทำการลบมลทินบาปแห่งจิตวิญญาณ เพราะว่าชีวิตของเนื้อหนังทั้งปวงอยู่ในเลือด เลือดของสิ่งใดก็คือชีวิตของสิ่งนั้นเอง เพราะฉะนั้นเราจึงได้กล่าวแก่ลูกหลานอิสราเอลว่า เจ้าอย่ารับประทานเลือดของเนื้อหนังใดๆเลย เพราะว่าชีวิตของเนื้อหนังทั้งปวงคือเลือดนั่นเอง ผู้ใดก็ตามรับประทานเลือดนั้นก็ต้องถูกตัดขาดเสีย"

2. เลือดไม่ควรบริโภค ในสมัยโบราณหลายศาสนามีพิธีดื่มเลือด แต่พระผู้สร้างบอกประชาชนของพระองค์หลายครั้งให้ละเว้นกินเลือด (ปฐมกาล 9:4; เลวีนิติ 3:17; กิจการ 15:20; 21:25) หลักสูตรวิทยาศาสตร์สมัยใหม่พบว่าเลือดดิบกินเป็นอันตราย

เลวีนิติ 17:12 : "เพราะฉะนั้นเราจึงได้พูดกับคนอิสราเอลว่า ในพวกเจ้าอย่าให้คนใดรับประทานเลือดเลย หรือคนต่างด้าวผู้อาศัยท่ามกลางเจ้าก็อย่าได้รับประทานเลือด"

3. เข้าสุหนัตในวันที่แปดเหมาะสมที่สุด วิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ค้นพบว่าเคมี(prothrombin)ที่ทำให้เลือดแข็งตัว ขึ้นยอดในร่างกายเด็กในวันที่แปดนี้ จึงเป็นวันที่ปลอดภัยที่สุดเพื่อการเข้าสุหนัตของเด็ก โมเสสรู้ได้อย่างไร!

ปฐมกาล17:12 : "ผู้ชายที่มีอายุแปดวันจะเข้าสุหนัตในท่ามกลางพวกเจ้า เด็กผู้ชายทุกคนตลอดชั่วอายุของพวกเจ้า ผู้ชายที่เกิดในบ้านหรือเอาเงินซื้อมาจากคนต่างด้าวใดๆซึ่งมิใช่เชื้อสายของเจ้า"

เลวีนิติ 12:3 : "ในวันที่แปดให้ตัดหนังปลายองคชาตของเด็กนั้นเสียเพื่อเป็นการเข้าสุหนัต"

4. จุลินทรีย์ พระเจ้ารู้ล่วงหน้าว่าจะมีเชื้อโรคที่มองไม่เห็น พระคัมภีร์เตือนเราว่า"อย่ารับประทานสัตว์ที่ตายเองหรือถูกสัตว์กัดตาย" วันนี้เราเข้าใจว่าซากเน่าของสัตว์เต็มไปด้วยเชื้อโรค

เลวีนิติ 22:8 : "สิ่งใดที่ตายเอง หรือถูกสัตว์กัดตาย อย่ารับประทาน เขาจะเป็นมลทินด้วยสิ่งเหล่านี้ เราคือพระเยโฮวาห์"

อพยพ 22:31 : "เจ้าทั้งหลายเป็นคนบริสุทธิ์อุทิศแก่เรา เหตุฉะนั้นเนื้อสัตว์ที่ถูกกัดตายในทุ่งนา เจ้าอย่ากินเลย จงทิ้งให้สุนัขกินเสีย"

5. เมื่อจัดการกับเชื้อโรคต้องล้างเสื้อผ้าและร่างกายโดยน้ำไหล คนในสมัยโบราณนั้นล้างเสื้อผ้าและอาบน้ำในน้ำขัง อย่างไม่รู้ไม่คิด วันนี้เราเข้าใจว่าจำเป็นต้องล้างเชื้อโรคไปกับน้ำจืดที่ไหล

เลวีนิติ 15:13 : "เมื่อผู้มีสิ่งไหลออกได้ชำระสิ่งไหลออกของเขาแล้ว เขาต้องนับการชำระของเขาให้ครบเจ็ดวัน และเขาต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำที่ไหล เขาจึงจะสะอาด"

6. พระคัมภีร์เดิมห้ามกินไขมันของวัว ,แกะและแพะ แต่ พระคัมภีร์ใหม่ให้กินทุกอย่างได้ด้วยการอธิษฐานขอบพระคุณ(1ทิโมธี4:4-5)แต่ว่ายังควรระมัดระวังสิ่งที่พระเจ้าห้ามในพระคัมภีร์เดิม เพราะว่าเร็วๆนี้สาธารณสุขให้เข้าใจว่าการบริโภคไขมันทำให้หลอดเลือดอุดตันและก่อให้เกิดเป็นโรคหัวใจ

เลวีนิติ 7:23-24 : "จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เจ้าทั้งหลายอย่ารับประทานไขมันของวัว ของแกะหรือของแพะไขมันของสัตว์ที่ตายเอง และไขมันของสัตว์ที่สัตว์กัดตายจะนำไปใช้อย่างอื่นก็ได้ แต่อย่ารับประทานเลยเป็นอันขาด"

7. พระเจ้าให้เราใช้ใบไม้ของต้นไม้เป็นยา (วิวรณ์ 22:2) คนสมัยโบราณใช้สมุนไพรหลายอย่างเป็นยา วันนี้การแพทย์กำลังพบใหม่ สิ่งที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ คือมีสารในพืชที่รักษาโรคต่างๆได้

เอเศเคียล 47:12 : "ตามฝั่งทั้งสองฟากแม่น้ำ จะมีต้นไม้ทุกชนิดที่ใช้เป็นอาหาร ใบของมันจะไม่เหี่ยวและผลของมันจะไม่วาย แต่จะเกิดผลใหม่ทุกเดือน เพราะว่าน้ำสำหรับต้นไม้นั้นไหลจากสถานบริสุทธิ์ ผลไม้นั้นใช้เป็นอาหารและใบก็ใช้เป็นยา"

8. พระคัมภีร์เตือนต่อการกินสัตว์น้ำสกปรก พระคัมภีร์ระบุว่าเราควรหลีกเลี่ยงการรับประทานสัตว์น้ำที่ไม่มีครีบหรือเกล็ด ขณะนี้เรารู้ว่า ปลาที่อยู่กินด้านล่าง (ที่ไม่มีครีบและเกล็ด) มักจะกินเศษและมีแนวโน้มที่จะนำโรคมาสู่คนกิน

เลวีนิติ 11:9-12 : "สัตว์ที่อยู่ในน้ำทั้งหมดเหล่านี้เจ้ารับประทานได้ ของทุกอย่างซึ่งอยู่ในน้ำที่มีครีบและมีเกล็ด จะอยู่ในทะเลหรือในแม่น้ำก็ตาม เจ้ารับประทานได้ แต่ทุกอย่างในทะเลและในแม่น้ำ ทุกอย่างที่เคลื่อนไหวในน้ำ และสิ่งมีชีวิตใดๆซึ่งอยู่ในน้ำ ไม่มีครีบและเกล็ด สัตว์เหล่านี้เป็นสิ่งที่พึงรังเกียจแก่เจ้า สัตว์เหล่านี้ยังคงเป็นสิ่งที่พึงรังเกียจแก่เจ้า เจ้าอย่ารับประทานเนื้อของมัน แต่ให้เจ้าถือว่าซากของมันเป็นที่พึงรังเกียจ อะไรก็ตามที่อยู่ในน้ำไม่มีครีบและเกล็ด เป็นสิ่งที่พึงรังเกียจแก่เจ้า"

9. พระคัมภีร์เตือนไม่ให้รับประทานนกกินสัตว์ ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์รู้ว่านกเหล่านี้ที่กินซากสัตว์ มักจะกระจายโรค

เลวีนิติ 11:13-19 : "ต่อไปนี้เป็นนกซึ่งให้เจ้าถือว่าเป็นสิ่งที่พึงรังเกียจท่ามกลางนกทั้งหลาย นกเหล่านี้รับประทานไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่พึงรังเกียจ คือนกอินทรี นกแร้ง นกออก นกเหยี่ยวหางยาว เหยี่ยวดำตามชนิดของมัน นกแกตามชนิดของมัน นกเค้าแมว นกเค้าโมง นกนางนวล เหยี่ยวนกเขาตามชนิดของมัน นกเค้าแมวเล็ก นกอ้ายงั่ว นกทึดทือ นกอีโก้ง นกกระทุง นกแร้ง นกกระสาดำ นกกระสาตามชนิดของมัน นกหัวขวาน และค้างคาว"

10. น้ำมันมะกอกและแอลกอฮอล์เป็นยาดีสำหรับแผล พระเยซูบอกว่ามีชายชาวซามาเรียคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อเขาเดินทางมาเจอคนบาดเจ็บ เขา เทน้ำมันมะกอกและเหล้าองุ่นใส่แผล พันแผลให้ วันนี้เรารู้ว่าเหล้าองุ่นมีเอทิลแอลกอฮอล์และร่องรอยของเมทิลแอลกอฮอล์ ทั้งสองฆ่าเชื้อดี น้ำมันมะกอกยังเป็นยาฆ่าเชื้อที่ดีรวมทั้งความชุ่มชื้นผิว, ป้องกันและเป็นโลชั่นธรรมชาติ นี้เป็นความรู้ปกติให้เราในวันนี้ แต่คุณรู้ไหมว่า ในระหว่างสมัยกลางจนถึงเริ่มต้นศตวรรษที่ 20 มีคนหลายล้านเสียชีวิต เพราะพวกเขาไม่ทราบถึงการรักษาและป้องกันแผล
ลูกา 10:34 : "เข้าไปหาเขาเอาผ้าพันบาดแผลให้ พลางเอาน้ำมันกับเหล้าองุ่นเทใส่บาดแผลนั้น แล้วให้เขาขึ้นขี่สัตว์ของตนเองพามาถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง และรักษาพยาบาลเขาไว้"


ความจริง 5 อย่างเกี่ยวกับ พันธุศาสตร์
1. พระเจ้ารู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับ DNA ระหว่าง ยุค 50 ดร.เจมส์ วัทสัน และ ดร.แฟรนซ์ คริค (Dr. James Watson, and Dr. Francis Crick) ค้นพบแผนการของพันธุศาสตร์ แต่ว่า สามพันปีมาแล้วพระคัมภีร์กล่าวถึงหนังสือที่บันทึกอวัยวะของมนุษย์ทุกชิ้นทุกส่วนก่อนเราเกิด หนังสือนั้นเรียกว่า ดี เอ็น เอ

สดุดี 139:13-16 : "เพราะพระองค์ทรงปั้นส่วนภายในของข้าพระองค์ พระองค์ทรงทอข้าพระองค์เข้าด้วยกันในครรภ์มารดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ เพราะข้าพระองค์ถูกสร้างมาอย่างแปลกประหลาดและน่ากลัว พระราชกิจของพระองค์มหัศจรรย์ จิตใจข้าพระองค์ทราบเรื่องนี้อย่างดี เมื่อข้าพระองค์ถูกสร้างอยู่ในที่ลับลี้ ประดิษฐ์ขึ้นมา ณ ภายในที่ลึกแห่งโลก โครงร่างของข้าพระองค์ไม่ปิดบังไว้จากพระองค์ พระเนตรของพระองค์ทรงเห็นส่วนประกอบของข้าพระองค์ในเมื่อยังไม่สมบูรณ์ ในวันทั้งหลายที่กำลังประกอบขึ้น เมื่อครั้งไม่เกิดขึ้น อวัยวะทั้งหลายของข้าพระองค์ก็ทรงจารึกไว้ในพระตำรับของพระองค์"

2. พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าสร้างสิ่งที่มีชีวิตตามชนิดของมัน นักวิทยาศาสตร์สังเกตสัตว์ต่างๆและเห็นด้วยกับพระเจ้าที่ได้แยกชนิดของสัตว์ต่างๆ คือว่า มีรอยทางพันธุกรรมแนวนอนขวางกั้นสิ่งที่มีชีวิตไม่สามารถผ่านได้ สิ่งมีชีวิตออกผลตามชนิดของตัวเอง สุนัขออกผลเป็นสุนัข แมวออกผลเป็นแมว กุหลาบออกผลเป็นดอกกุหลาบ ตามที่ วิวัฒนาการทางธรรมชาติสมมุติฐานว่ามีสัตว์ชนิดหนึ่งเปลี่ยนเป็นชนิดอื่นแต่ว่านักวิทยาศาตร์ไม่เคยสังเกตตามสมมุติฐานนี้เลย มีข้อจำกัดตามธรรมชาติอย่างแท้จริงที่ขวางกั้นในการเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยา

ปฐม กาล 1;11-12 : "พระเจ้าตรัสว่า “จงให้แผ่นดินเกิดต้นหญ้า ต้นผักที่มีเมล็ด และต้นไม้ที่ออกผลที่มีเมล็ดในผลตามชนิดของมันบนแผ่นดิน” ก็เป็นดังนั้น แผ่นดินก็เกิดต้นหญ้า ต้นผักที่มีเมล็ดตามชนิดของมัน และต้นไม้ที่ออกผลที่มีเมล็ดในผลตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี"

ปฐม กาล 1:24-25 : "พระเจ้าตรัสว่า “จงให้แผ่นดินโลกเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่าบนแผ่นดินโลกตามชนิดของมัน” ก็เป็นดังนั้น พระเจ้าได้ทรงสร้างสัตว์ป่าบนแผ่นดินโลกตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน และบรรดาสัตว์ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดินโลกตามชนิดของมัน แล้วพระเจ้าทรงเห็นว่าดี"

3. พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์จากสายโลหิตอันเดียวกัน (ปฐมกาลบทที่5 ทั้งหมด) วันนี้มีนักวิจัยค้นพบว่าเราได้สืบทอดทั้งหมดจากกองยีนเดียว อย่างเช่น ในคศ. 1995 มีการศึกษา Y โครโมโซมจากผู้ชาย38 คนจากกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆทั่วโลก ซึ่ง ตรงกันกับคำสอนของพระคัมภีร์ ที่สอนว่าเราทั้งหมดมาจากมนุษย์คนเดียว คืออาดัม

กิจการ 17:26 : "พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติสืบสายโลหิตอันเดียวกันให้อยู่ทั่วพื้นพิภพโลก และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาอยู่"

4. มนุษย์ถูกสร้างอย่างแปลกประหลาดและน่ากลัว เราเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเพื่อการวิจัยความละเอียดซับซ้อน ของโมเลกุล DNA, ตา, สมอง และทุกส่วนของชีวิตประกอบที่สลับซับซ้อน ไม่มีการประดิษฐ์ของมนุษย์เปรียบเทียบกับสิ่งมหัศจรรย์ของการสร้างของพระเจ้า

สดุดี 139:14 : "ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ เพราะข้าพระองค์ถูกสร้างมาอย่างแปลกประหลาดและน่ากลัว พระราชกิจของพระองค์มหัศจรรย์ จิตใจข้าพระองค์ทราบเรื่องนี้อย่างดี"

5. โปรตีนหรือ DNA อันไหนมาก่อน? นักวิวัฒนาการทางธรรมชาติ มีปัญหาที่ลึกกว่า คำถามว่าไก่หรือไข่ อันไหนมาก่อนกัน ไก่ประกอบด้วยโปรตีน รหัสของโปรตีนแต่ละอันอยู่ในระบบ DNA / RNA แต่โปรตีนที่จำเป็นเพื่อการผลิต DNA ดังนั้น โปรตีนหรือ DNAอันไหนมาก่อน? มีคำอธิบายเดียวคือทั้งสองถูกสร้างขึ้นพร้อมกัน

วิวรณ์ 4:11 : "โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงสมควรที่จะได้รับคำสรรเสริญ พระเกียรติ และฤทธิ์เดช เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงนั้นก็ทรงสร้างขึ้นแล้วและดำรงอยู่ตามชอบพระทัยของพระองค์"

No comments: