Tuesday, January 11, 2011

วิวัฒนาการทางธรรมชาติ กับ การสร้างในกรณีพิเศษ ทฤษฎีไหนกันแน่ที่ถูกต้อง




โดย คริสตจักรพระวาทะแบ๊พติสท์หนองคาย

คำนำ
วิทยาศาสตร์คือ ความรู้ที่ได้จากการสังเกตและค้นคว้าจากการประจักษ์ทางธรรมชาติ แล้วจัดเข้าเป็นระเบียบ ในเริ่มแรกนักวิทยาศาสตร์ต้องตั้งข้อสมมุติฐานก่อน (ข้อสมมุติฐานคือข้อที่ใช้เป็นมูลฐานในการหาเหตุผลของการทดลองหรือการวิจัย) ถ้าผ่านการทดลองแล้วเห็นว่ามีหลักฐานเพียงพอและถูกต้องเสมอ ข้อสมมุติฐานนั้นจะขึ้นมาเป็นทฤษฎี ( ทฤษฎี คือลักษณะที่คาดคิดเอาตามหลักวิชาการ เพื่อเสริมเหตุผลและหลักฐาน ให้แก่ประสบการณ์ หรือข้อมูลในภาคปฎิบัติ ซึ่งเกิดขึ้นมาอย่างมีระเบียบ) ตั้งแต่โบราณมาจนถึงทุกวันนี้ มนุษย์มีข้อคิดอยู่สองอย่าง เกี่ยวกับการเริ่มต้นของจักรวาลและสิ่งมีชีวิตคือ 1. วิวัฒนาการทางธรรมชาติ 2. การสร้างในกรณีพิเศษ
เมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว มีบุคคลผู้หนึ่งชื่อ ชาร์ล ดาร์วิน เขาได้พยายามทำให้ข้อสมมุติฐานของเขาขึ้นมา เป็นวิทยาศาสตร์ โดยพยายามแสดงข้อสมมุติฐานของเขาว่า สิ่งมีชีวิตค่อยๆเจริญขึ้นมาจากสิ่งที่ง่ายไปหาสิ่งที่ยาก ในปัจจุบันนี้วิวัฒนาการทางธรรมชาติได้สอนว่า สิ่งมีชีวิตเกิดจากอะตอมต่างๆ ที่ไม่มีชีวิตเจริญขึ้นมาเป็นเซลล์ๆหนึ่งที่มีชีวิต แล้วค่อยๆเจริญขึ้น โดยใช้เวลานับล้านๆปี เจริญขึ้นเป็นสัตว์น้ำ แล้วเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ขึ้นมาเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ขึ้นมาเรื่อยๆจนเป็นสัตว์บก จนกระทั่งเป็นมนุษย์ ข้อคิดทั้งสองอย่างนี้ จะเรียกว่าเป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้ เพราะว่ามนุษย์จะเฝ้าสังเกตและค้นคว้าไม่ได้แน่นอน เนื่องจากจักรวาลและสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาก่อนที่จะมีมนุษย์มานานมากแล้ว และเราก็ไม่สามารถทำการทดลองตามวิทยาศาสตร์ได้ ดังนั้นเราต้องใช้ระบบการพิสูจน์ตามกระบวนการแบบศาล คือพิสูจน์จากหลักฐาน ต่างๆ เพื่อจะได้รู้ว่าข้อใดคือความจริง ขอให้ท่านจงพิสูจน์จากหลักฐานดังต่อไปนี้

การเริ่มต้นของจักรวาลมี2ข้อคิด
1. วิวัฒนาการทางธรรมชาติ วิวัฒนาการทางธรรมชาติมีข้อสมมุติฐานเกี่ยวกับการเริ่มต้นของจักรวาลอยู่ 2 ข้อคิดคือ ข้อสมมุติฐานเกี่ยวกับการกำหนดสภาพเสมอ และข้อสมมุติฐานการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่
ก. ข้อสมมุติฐานการกำหนดสภาพเสมอ ข้อนี้สันนิษฐานว่า มีสสาร (อาจจะเป็นก๊าซไฮโดเจน) ที่ขึ้นมาเองเรื่อยๆในอวกาศ ซึ่งอยู่ไกลมากจนเราไม่สามารถมองเห็นได้ มีการเปลี่ยนแปลงและเจริญขึ้นมาเอง จนเป็นวัตถุและสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่เรามองเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้
ข. ข้อสมมุติฐานเกี่ยวกับการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ ข้อนี้สันนิษฐานว่า สสารที่เจริญขึ้นมาจนถึงสภาพในปัจจุบันนี้ เริ่มมาจากในอดีตเป็นเวลาหลายล้านปี ได้มีการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงอำนาจจากการระเบิดมาเป็นสสาร การระเบิดนี้อาจจะเกิดขึ้นเพราะแรงดึงดูดของจักรวาลในอดีต ที่ได้เกิดการถล่มและการระเบิดขึ้น
2. การสร้างในกรณีพิเศษ ผู้ที่ถือทฤษฎีนี้เชื่อว่า “พระเจ้าได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น ”(ฮีบรู11:3)
พระเจ้าทรงเป็นต้นกำเนิดทุกอย่าง
- ต้นกำเนิดของอวกาศที่ไม่มีเขตจำกัด ต้องมาจากผู้ที่ไม่มีเขตจำกัด
- ต้นกำเนิดของเวลาที่ไม่มีจุดจบ ต้องมาจากผู้ที่ไม่มีเริ่มแรกและไม่มีสิ้นสุด
- ต้นกำเนิดของพลังที่ไม่มีเขตจำกัด ต้องมาจากผู้ที่มีอำนาจทุกอย่างและทุกทาง
- ต้นกำเนิดของความสัมพันธ์ที่เกี่ยวโยงกัน ต้องมาจากผู้ที่แทรกตัวอยู่ทุกแห่งในเวลาเดียวกัน
- ต้นกำเนิดของความละเอียดซับซ้อน ต้องมาจากผู้ที่รอบรู้ทุกอย่างและทุกทาง

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับการสร้างในกรณีพิเศษและวิวัฒนาการทางธรรมชาติ
1. กฎวิทยาศาสตร์ 2 กฎ จากวิทยาศาสตร์แขนงเทอโมไดนามิค คือแขนงที่ศึกษาความเคลื่อนไหวจากความร้อน และพลังงานอื่นเปลี่ยนเป็นกำลังงาน ( ปฐมกาล 2:1)
ก. กฎที่1 เรียกว่า การแปลงพลังงาน กฎนี้บอกว่าไม่มีสิ่งใดปรากฏขึ้นมาเองหรือถูกทำลายสูญไป ในปัจจุบันนี้มีแต่การเปลี่ยนแปลงเท่านั้น ทุกสิ่งที่คงอยู่ในจักรวาล( เวลาและอวกาศ รวมทั้งโลกนี้ด้วย) เป็นพลังงาน และทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นการแปลงพลังงาน กฎนี้มีความสำคัญมากที่สุด เพราะเป็นกฎที่มีข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดทางวิทยาศาสตร์ กฎนี้ได้แสดงอย่างชัดเจนและหนักแน่นว่า จักรวาลไม่ได้สร้างตัวมันเอง
ข. กฎที่2 เรียกว่า กฎแห่งการเสื่อมพลังงาน กฎนี้บอกว่า ทุกระบบที่ปล่อยให้มันเป็นไปโดยตัวของมันเอง จะต้องเปลี่ยนแปลงจากความมีระเบียบไปจนกระทั่งเป็นความยุ่งเหยิง พลังงานจะเปลี่ยนแปลงและลดลงเรื่อยๆ ลงมาเป็นพลังงานที่พอจะใช้งานได้แล้วจะลดลงไปจนกระทั่งสิ้นสุดและนำมาใช้ต่อไปไม่ได้ กฎวิทยาศาสตร์กฎนี้ได้แสดงอย่างชัดเจนว่า วิวัฒนาการทางธรรมชาตินั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอน เพราะมันขัดแย้งกันตรงที่ว่า ธรรมชาติเจริญขึ้นมาจากความยุ่งเหยิง ไปจนกระทั่งขึ้นมาเป็นความมีระเบียบที่ละเอียดซับซ้อน ซึ่งมันผิดไปจากหลักความจริงอย่างเห็นได้ชัด และที่ชัดเจนที่สุดก็คือ จักรวาลนี้กำลังเสื่อมลงเรื่อยๆ (ปฐมกาล3: 17-19)
ค. ทั้งสองกฎตรงกับพระคัมภีร์
กฎที่1 แสดงว่าจักรวาลไม่ได้สร้างตัวของมันเอง แต่จักรวาลต้องมีต้นกำเนิด พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน ” (ปฐมกาล1: 1) “พระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมา และในบรรดาสิ่งทั้งปวงที่เป็นขึ้นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระองค์” (ยอห์น1:3) “เพราะว่าโดยพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้นในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา” (โคโลสี1:16) “เพราะพระองค์ทรงบัญชา สิ่งเหล่านั้นก็ถูกเนรมิตขึ้นมา ” (สดุดี148:5)
กฎที่2 บอกว่าสรรพสิ่งทั้งปวงอยู่ในอำนาจของอนิจจังและกำลังเปื่อยเน่า “พระองค์จึงตรัสแก่อาดัมว่า...เจ้ากินผลไม้ที่เราห้าม แผ่นดินจึงต้องถูกสาปเพราะตัวเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความทุกข์ลำบากจนตลอดชีวิต...เจ้าจะต้องหากินด้วยอาบเหงื่อจนเจ้ากลับเป็นดินไป เพราะเราสร้างเจ้ามาจากดิน เจ้าเป็นผงคลีดินและเจ้าจะต้องกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม” (ปฐมกาล3: 17,19) “ เพราะว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นต้องเข้าอยู่ในอำนาจของอนิจจัง ไม่ใช่ตามใจชอบของตนเอง แต่เป็นไปตามพระองค์ผู้ทรงบันดาลให้เข้าอยู่นั้นด้วยมีความหวังใจ ว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นจะได้รอดจากอำนาจแห่งความเปื่อยเน่า และจะเข้าในเสรีภาพซึ่งมีสง่าราศีแห่งบุตรทั้งหลายของพระเจ้าด้วย” (โรม8:20-21) “ จงแหงนตาดูฟ้าสวรรค์ และมองดูโลกเบื้องล่าง เพราะว่าฟ้าสวรรค์จะสูญสิ้นไปเหมือนควัน และแผ่นดินโลกจะร่อยหรอไปเหมือนอย่างเสื้อผ้า และเขาทั้งหลายผู้อาศัยอยู่ในนั้นจะตายไปเหมือนกัน แต่ความรอดของเราจะอยู่เป็นนิตย์ และความชอบธรรมของเราจะไม่สิ้นสุดเลย” (อิสยาห์51:6)

2. จักรวาล โลก และสิ่งมีชีวิต อายุมากหรือน้อย?
ข้อสมมุติฐานเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางธรรมชาติสอนว่า จะต้องใช้เวลานานหลายปี มีนักดาราศาสตร์บางคนสันนิษฐานเกี่ยวกับจักรวาลนี้ว่า มีอายุน้อยกว่า 30,000,000,000ปี (สามสิบพันล้าน) แต่เรามักจะได้พบเห็นจากหนังสือ วิทยุ หรือโทรทัศน์บ่อยๆ ที่นักวิทยาศาสตร์บางคนได้สันนิษฐานเกี่ยวกับดวงดาวต่างๆในจักรวาล ไดโนเสาร์ และอายุของโลกว่ามีอายุหลายล้านปี และสิ่งมีชีวิตเริ่มขึ้นมาประมาณ 4,000,000,000ปี(สี่พันล้าน)ที่แล้ว ส่วนการสร้างในกรณีพิเศษ ทฤษฎีนี้สอนว่า จักรวาลถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 6,000ปี ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ตามหลักวิวัฒนาการทางธรรมชาตินั้นมีโอกาสที่จะเป็นไปได้เพียง 1 ในร้อยล้าน พันๆล้าน (1ใน 10) แต่เราจะลองสมมุติว่าเป็นไปได้ ถ้ามีเวลามากขนาดนั้น จงดูหลักฐานต่อไปนี้ที่แสดงว่าโลกไม่ได้มีอายุมากมายถึงขนาดนั้น เพราะเขามีเวลาไม่มากมายถึงขนาดนั้นแน่ เนื่องจากจักรวาลนี้มีอายุน้อยกว่านั้นมากนัก
ก. หลักฐานทางพระคัมภีร์แสดงว่า เมื่อ 4,000 ปีที่แล้วมีน้ำท่วมโลก(ปฐมกาล6-9)ในครั้งนั้นมีผู้รอดชีวิตเพียง8คน ยังมีหลักฐานอื่น นอกจากพระคัมภีร์อีก200กว่าอย่าง ที่ได้กล่าวถึงเรื่องน้ำท่วมโลกครั้งนี้ จากชนชนติและภาษาต่างๆทั่วโลกที่ได้ยืนยัน มีทั้งแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และมีคลื่นยักษ์ที่ใหญ่มากเกิดขึ้นกับน้ำท่วมครั้งนั้น จากความหายนะครั้งใหญ่ มันสามารถให้คำตอบได้ดีเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในชั้นหินของพื้นโลกตามศาสตร์แขนงธรณีวิทยา อีกอย่างหนึ่งจากน้ำท่วมโลกครั้งนี้ จากการสำรวจประชากรโลก นักวิทยาศาสตร์ผู้ได้ศึกษาจำนวนประชากรโลกได้แสดงว่า ประชากรโลกในปัจจุบันนี้จะขึ้นมาจาก 8 คน ในเวลา 4,000ปีได้ แต่ถ้าหากมนุษย์อยู่บนโลกนี้นานถึง 500,000ปี (ห้าแสนปี) โลกนี้จะไม่สามารถรับจำนวนประชากรของโลกในปัจจุบันนี้ได้ เพราะมันจะต้องล้นโลกแน่นอน
ข. ฝุ่นละอองจากดาวหาง ดาวตกจากอวกาศ ในทุกๆปี จะมีฝุ่นละอองจากอวกาศกระจายตกลงมาทั่วโลกนี้ประมาณ 14 ล้านตัน ถ้าหากโลกนี้มีอายุ 5 พันล้านปี (5,000,000,000) ทั่วโลกนี้จะต้องมีฝุ่นละอองหนาประมาณ 182 ฟุต ถ้าโลกนี้มีอายุ 5 ล้านปี ( 5,000,000) จะต้องมีฝุ่นหนาประมาณ 2 นิ้วเสมอ แต่ไม่มีหลักฐานที่ปรากฏว่ามีฝุ่นจากอวกาศหรือบนพื้นโลกมากขนาดนั้นเลย เมื่อหน่วยส่งจรวดของอเมริกาจะส่งจรวดขึ้นไปบนดวงจันทร์เขาคิดว่าจะมีฝุ่นบนนั้นประมาณ 54 ฟุต แต่เมื่อลงบนดวงจันทร์แล้วปรากฏว่ามีฝุ่นประมาณ -3 นิ้ว ถ้ามีฝุ่นหนาขนาดนี้ จะต้องใช้เวลาสะสมประมาณ 8,000 ปี
ค. ขนาดของดวงอาทิตย์ที่กำลังเล็กลง นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการเฝ้าสังเกตดูดวงอาทิตย์มา 100 กว่าปีแล้ว มีหลักฐานอย่างหนักแน่นว่า ขนาดของดวงอาทิตย์กำลังเล็กลงชั่วโมงละ 5 ฟุต ถ้าเฉลี่ยออกมาจะเท่ากับ 1% ต่อ 1,000 ปี ถ้าสมมุติว่าโลกมีอายุ 1แสนปี (100,000) ดวงอาทิตย์ก็จะมีขนาดใหญ่กว่าปัจจุบันนี้ เพียง 6% ก็ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน
ง. รอยเท้าไดโนเสาร์กับมนุษย์ ได้มีการพบฟอสซิลของรอยเท้าไดโนเสาร์และรอยเท้าของมนุษย์อยู่ในชั้นเดียวกัน ที่รัฐเทกซัส อเมริกา นักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ดูอย่างละเอียดและรู้แน่นอนแล้วว่า เป็นรอยเท้าของไดโนเสาร์และรอยเท้าของมนุษย์ ซึ่งมีรอยเดินเป็นทางหลายรอย และตรงที่มีรอยเดินสวนกันนั้น รอยเท้าอยู่ห่างกันเพียง 18 นิ้ว และยังมีการพบในรัสเซียและที่ออสเตรเลียอีกด้วย ความคิดตามวิวัฒนาการสอนว่า ไดโนเสาร์ได้สูญไปจากโลกนี้เมื่อหลายล้านปีก่อนที่จะมีมนุษย์ขึ้นมา
จ. การกัดเซาะดินของน้ำ หินโสโครกในทะเล วงโคจรของดวงจันทร์กำลังขยายออกไป ความดันที่อัดแน่นในน้ำมันที่ชั้นหินใต้ดิน และยังมีอีก 50 กว่าอย่างที่แสดงว่า จักรวาลและสิ่งที่มีชีวิตมีอายุน้อย
ฉ. หลักฐานที่ดีที่สุดของผู้ที่เชื่อวิวัฒนาการทางธรรมชาติที่เขาใช้พยายามแสดงว่า โลกมีอายุมากคือ ชาร์ทแสดงลำดับชั้นของหิน การทดลองหาอายุของหินและฟอสซิลโดยการใช้ ธีเรดิโอเมตริก เช่น ( โปรแตสเซียมอาร์กอน ยูเรเนียม ตะกั่ว และคาร์บอน 14)


3. ชาร์ททางธรณีวิทยา ที่นักวิทยาศาสตร์ใช้สนับสนุนทฤษฎีของ ชาร์ล ดาร์วิล
ชาร์ทนี้ทำขึ้นเมื่อประมาณ 150 ปีที่แล้ว ก่อนการใช้เรดิโอเมตริกทดลองหาอายุของหินและฟอสซิล ชาร์ทนี้แสดงว่าสิ่งมีชีวิตเจริญขึ้นมาเป็นสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังประมาณ 500ล้านปีที่แล้ว และสัตว์ที่เรียกว่าทริลโอไบท์เจริญขึ้นมาเมื่อประมาณ 1,000ล้านปีที่แล้ว ต่อมาเป็นปลาประมาณ 700 ล้านปีที่แล้ว เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำประมาณ 600ล้านปีที่แล้ว และเป็นสัตว์เลื้อนคลานเมื่อ 400ล้านปีที่แล้ว เป็นไดโนเสาร์ประมาณ 300ล้านปีที่แล้ว แล้วขึ้นมาเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเมื่อประมาณ100ล้านปีที่แล้ว และขึ้นมาเป็นมนุษย์ เมื่อ 5 แสนปีที่แล้ว ชาร์ทนี้มีข้อสะดุดมากคือ
ก. ไม่มีชั้นหินใดในโลกนี้ที่เป็นไปตามชาร์ทของเขาได้อย่างสมบรูณ์
ข. เคยมีการพบกระดูกของมนุษย์ในถ่านหินที่มีอายุตามชาร์ทนั้น ประมาณระหว่าง 20 -50ล้านปี แต่ตามชาร์ทนั้นบอกว่า มนุษย์ขึ้นมาเมื่อ 5 แสนปีที่แล้ว
ค. เคยมีคนพบทริลโอไบท์กับรอยเท้าของไดโนเสาร์ ตามชาร์ทนั้นทริลโอไบท์มีอายุ 1,000ล้านปี แต่มันอยู่กับไดโนเสาร์ ซึ่งตามชาร์ทไดโนเสาร์มีอายุประมาณ 200ล้านปี ซึ่งตัวเลขมันห่างไกลกันลิบลับ ไม่สมดุลกันแม้แต่น้อย
ง. บรรทัดฐานของชาร์ทนี้ คือ การสันนิษฐาน ซึ่งไม่มีหลักการตามวิทยาศาสตร์เลย
จ. วิธีการทดลองหาอายุของหินและฟอสซิลโดยใช้คาร์บอน 14 เมื่อทำการทดลองแล้วได้ข้อสรุปว่า หินและฟอสซิลมีอายุห่างไกลกันระหว่าง 70,000-1,000,000ปี และการหาฟอสซิลโดยวิธีเรดิโอเมตริก ก็ไม่เคยได้ตัวเลขที่ใกล้เคียงกันหรือตรงกันเลย
4. การทดลองหาอายุของหินและฟอสซิลโดยใช้วิธีเรดิโอเมตริก วิธีนี้ใช้ไม่ได้เหมือนกัน ยกเว้น คาร์บอน14 ถ้าสิ่งที่ทดลองนั้นอายุน้อยกว่า 3,000ปี วิธีเรดิโอเมตริกจะมีปัญหาดังต่อไปนี้คือ
ก. มีภูเขาไฟระเบิดที่หมู่เกาะฮาวายในปี คศ. 1801 หินลาวาที่ไหลออกมามีอายุระหว่าง 160-3,000ล้านปี แต่ในความจริงแล้ว หินลาวานั้นมีอายุระหว่าง 200ปีเท่านั้น
ข. เคยมีการใช้โปรแตสเซียมอาร์กอนทดลองกระดูกของลิง และคาร์บอน14ทดลองกระดูกของสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมจากกระดูกที่พบในชั้นหินเดียวกัน โปรแตสเซียมอาร์กอนบอกอายุของลิงว่า มีอายุประมาณ 1-2 ล้านปี ส่วนคาร์บอน14 บอกอายุของสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมว่า มีอายุประมาณ 15,000ปี
ค. วิธีเรดิโอเมตริกมีปัญหาเกี่ยวกับบรรทัดฐานในการทดลองไม่ชัดเจนและไม่แน่นอน มีแต่คาร์บอน14 เท่านั้นที่สามารถใช้ได้ ถ้าสิ่งที่จะทำการทดลองนั้นมีอายุน้อยกว่า 3,000ปี เพราะว่ามีพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงได้
ง. แต่มีบ่อยครั้งที่นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อในวิวัฒนาการทางธรรมชาติ ได้ตั้งเครื่องวัดคาร์บอน14 ไม่ตรงตามมาตรฐานตามความจริง แต่เป็นไปตามสมมุติฐานของเขาเอง

5. ความมีระเบียบและความละเอียดซับซ้อนของจักรวาล
ก. ระบบการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ โดยเฉพาะการที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ในทุก 365 กับ 1/4วัน ทุกๆรอบเป็นเวลา 1 ปี และโลกนี้หมุนรอบตัวเอง 1 รอบเป็นเวลา 24 ชั่วโมง เท่ากับ 1 วัน การที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลก 1รอบ เป็นเวลา 30 วัน หรือ 1 เดือน เป็นอย่างนี้เรื่อยๆไป เป็นวัฏจักร( ปฐมกาล 1:14-19)
ข. อะตอมเป็นสิ่งที่ละเอียดซับซ้อนมาก อะตอมประกอบด้วย โปรตอน นิวตรอนและอีเลคตรอน
นิวเคลียสประกอบด้วย โปรตรอนและนิวตรอน อีเลคตรอนจะโคจรอยู่รอบๆนิวเคลียส ซึ่งการโคจรของมันนั้นคล้ายๆกับการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ สสารทุกอย่างประกอบด้วยอะตอม อะตอมจะเกาะกันอยู่อย่างมีระเบียบ ในขณะที่มันวิ่งอีเลคตรอนของมันก็ยังโคจรอยู่รอบๆนิวเคลียส ทุกๆอะตอมจะเกาะติดกันอยู่โดยไม่แตกกระจายหลุดออกจากกันเลย อะตอมมีขนาดเล็กมากขนาดใช้กล้องจุลทัศน์ส่องก็ยังไม่สามารถมองเห็นได้ ( ฮีบรู 11:3, โคโลสี1:16)
ค. ข้างในนิวเคลียสของทุกเซลล์ จะมีโครโมโซม 23 คู่ โครโมโซมนี้ประกอบด้วยโมเลกุล D.N.A. โมเลกุล D.N.A. มีหลายพันธุ์ ยีนส์ที่มีโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตต่างๆ จะมีชีวิตและความเป็นอยู่ตามชนิดและลักษณะของมัน ยีนส์เป็นตัวกำหนดความละเอียดซับซ้อนของสิ่งมีชีวิต ซึ่งเป็นวิธีที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้ (ปฐมกาล1:21,24,25)
ง. ร่างกายของมนุษย์ มีหลายระบบที่ละเอียดซับซ้อนมาก เช่น ระบบโลหิต ระบบลมหายใจ ระบบอาหาร ระบบการสัมผัส และระบบสมอง ซึ่งระบบของสมองนี้เป็นสิ่งที่ละเอียดซับซ้อนมากที่สุดในจักรวาล เปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์ที่พระเจ้าสร้างขึ้น ซึ่งมีระบบซับซ้อนเกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจได้

6. ความสัมพันธ์ที่เกี่ยวโยงกันในจักรวาล
ก. มนุษย์และสัตว์มีชีวิตที่เกี่ยวโยงกันกับพืช เช่น มนุษย์และสัตว์ต้องการออกซิเจนในการหายใจ ใบของพืชทำการก่อสร้างและปล่อยออกซิเจนออกมาในอากาศให้มนุษย์และสัตว์ได้หายใจ มนุษย์และสัตว์ก็หายใจออกมาเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้พืชได้หายใจอีก ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่อาศัยซึ่งกันและกัน
ข. แรงดึงดูดของดวงอาทิตย์ แรงดึงดูดนี้ดึงโลกและดาวเคราะห์ต่างๆไว้ให้โคจรรอบดวงอาทิตย์ ทำให้โลกไม่หลุดกระเด็นออกไปนอกจักรวาล แรงดึงดูดมีระยะห่างกัน 93 ล้านไมล์ ซึ่งเป็นระยะที่ให้อุณหภูมิพอดีแก่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในโลก ซึ่งไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป ( โยบ26:7)
ค. ความร้อนของดวงอาทิตย์ ทำให้น้ำในทะเลและน้ำในแม่น้ำลำคลองระเหยขึ้นไปเป็นไอในอากาศ จับตัวกันเป็นเมฆ ลมพัดพาเมฆไปกระทบความเย็นกลั่นตัวเป็นน้ำฝนตกลงมารดต้นไม้บนแผ่นดิน และไปเป็นแม่น้ำลำคลอง แล้วไหลลงสู่ทะเล เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ เป็นวัฏจักร(ปัญญาจารย์1:5-7)

จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ได้แสดงให้เราเห็นอะไรบ้าง?
1. หลักฐานที่แสดงถึงวิวัฒนาการทางธรรมชาติ ไม่มีหลักฐานสักข้อเดียวที่แสดงถึงการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ หรือสัตว์เซลล์เดียวจะเจริญขึ้นมาจนกระทั่งกลายเป็นมนุษย์โดยการบังเอิญ การที่เขาอยากให้เราได้เชื่อว่า มนุษย์เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญตามวิวัฒนาการทางธรรมชาตินั้น มีโอกาสเป็นไปได้เท่ากับการเกิดหนังสือพจนานุกรมโดยการระเบิดในโรงพิมพ์ หนังสือจะเกิดจากการระเบิดอย่างนี้ไม่ได้แน่นอน เช่นเดียวกับการที่มนุษย์จะเกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ หรือจะเกิดจากการระเบิดครั้งใหญ่ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะใช้เวลานานหลายร้อยหลายพันล้านปีก็ตาม วิวัฒนาการไม่ใช่วิทยาศาสตร์ไม่ใช่ทฤษฎีแต่เป็นการสร้างเรื่องของคนที่ไม่อยากจะเชื่อว่ามีพระเจ้า (สดุดี14:1, โรม1:18-25)
2. หลักฐานที่แสดงถึงการสร้างในกรณีพิเศษ
ก. หลักฐานต่อไปนี้แสดงว่ามีพระเจ้า
1) ธรรมชาติเกิดขึ้นมาเองไม่ได้
2) ธรรมชาติที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันอย่างมีระบบระเบียบเช่นนี้ ต้องมีผู้สร้างและ ผู้ออกแบบ
3) พลังงานที่มีอยู่ในจักรวาล ต้องมาจากผู้ที่มีอำนาจไม่มีเขตจำกัด และเวลาที่ไม่มีจุดจบ ต้องมาจากผู้ที่ไม่มีเริ่มแรกและไม่มีสิ้นสุด
4) สิ่งมีชีวิตต้องมาจากผู้ที่มีชีวิต และมีความรู้ทุกอย่างและทุกหนทาง
ข. หลักฐานทางวิทยาศาสตร์แสดงว่าโลกนี้มีอายุประมาณ 6,000ปี และอายุนี้ตรงกับพระคัมภีร์ของพระเจ้า
ค. มีหลักฐานว่าสัตว์ทริลโอไบท์ที่สูญไป ตามวิวัฒนาการบอกว่ามันมีอายุประมาณ 1,000ล้านปี และไดโนเสาร์มีอายุ 200 ล้านปี และมนุษย์มีอายุ 5 แสนปี ในความจริงแล้ว สิ่งที่กล่าวมานี้ มีอายุและชีวิตอยู่ในเวลาเดียวกัน จากหลักฐานจากหินและฟอสซิลที่มีอยู่ในชั้นหินเดียวกัน ไม่ใช่มีชีวิตต่างกันเป็นเวลานานเช่นนั้น
ง. วิทยาศาสตร์แสดงแน่นอนว่า ในปัจจุบันนี้ไม่มีสสารใดๆที่กำลังถูกสร้างขึ้นใหม่ในจักรวาล
( ปัญญาจารย์1:9-10 ) และไม่มีสสารใดๆที่กำลังสูญเสียไปจากจักรวาลนี้ มีแต่การเปลี่ยนแปลงสถานะของมัน และมันเสื่อมลงเรื่อยๆเท่านั้น
จ. พระเจ้าเที่ยงแท้มีองค์เดียวเท่านั้น พระองค์ประกอบด้วย 3 ส่วน คือพระบิดา พระวาทะ( พระเยซูคริสต์) และพระวิญญาณบริสุทธิ์( 1ยอห์น 5:7) พระองค์ผู้ทรงสร้างจักรวาล ซึ่งจักรวาลนี้ก็ประกอบด้วย 3 ส่วนเช่นเดียวกัน
1) จักรวาลประกอบด้วย ที่ว่างเปล่า( อวกาศ) สสาร อะตอม เวลา
- ที่ว่างเปล่าจะมี 3 มิติ คือความกว้าง ความยาว ความสูง
- เวลา ประกอบด้วย อดีต ปัจจุบัน อนาคต
- สสารประกอบด้วย ธรรมชาติที่ปรากฏให้เห็น ความเคลื่อนไหว พลังงาน
2) สสารทุกชนิดประกอบด้วยอะตอม อะตอมประกอบด้วย 3 ส่วนคือ ที่ว่างเปล่า สสาร และพลังงาน
3) ความสว่างประกอบด้วย 3 อย่าง คือ รังสี ความร้อน แสงสว่าง
4) พระเจ้าสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์ มนุษย์มีองค์ประกอบ 3 ส่วนคือ ร่างกาย จิตใจ วิญญาณ( ปฐมกาล 1:26-27,1 เธสะโลนิกา 5:23)

บทสรุป
จักรวาลเต็มไปด้วยหลักฐานที่แสดงว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้าง ( สดุดี19:1, ฮีบรู 11:3,โรม 1:20) พระคัมภีร์ไม่ได้เป็นหนังสือวิชาวิทยาศาสตร์ แต่พระคัมภีร์กล่าวถึงธรรมชาติตรงตามวิทยาศาสตร์ หลายพันปีก่อน วิลเลี่ยม ฮาเว่ย์ ได้ค้นพบความรู้เกี่ยวกับระบบการไหลเวียนของโลหิตในปี 1616 และก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะพบว่า เลือดส่งอาหาร ออกซิเจน และน้ำไปทั่วร่างกายของมนุษย์ พระเจ้าได้กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ เพราะว่าชีวิตของเนื้อหนังอยู่ในเลือด…” (เลวีนิติ17:11) และ 1,700กว่าปีมาแล้ว ก่อนที่แพทย์จะค้นพบว่ามนุษย์เราสามารถให้เลือดแก่ผู้อื่นได้ พระเจ้าเคยตรัสว่า “...มนุษย์สืบสายโลหิตเดียวกัน ”(กิจการ 17:26) ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดก็ตาม สามารถให้เลือดแก่กันและกันได้ ในสมัยก่อนมนุษย์เชื่อว่าโลกนี้แบน แต่พระคัมภีร์กล่าวว่าโลกกลม ซึ่งตรงกับวิทยาศาสตร์และความเป็นจริง (อิสยาห์40:22,สุภาษิต8:2) มีบางศาสนาในสมัยโบราณบอกว่า โลกถูกวางไว้บนหลังเต่าหรือปลาโลมา แต่พระคัมภีร์กล่าวว่า
“ พระองค์ทรงคลี่อุดรออกคลุมที่เวิ้งว้างและแขวนโลกไว้เหนือที่ว่างเปล่า ”( โยบ26:7) มีการค้นพบว่าทุกสิ่งกำลังเสื่อม พระเจ้าได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไว้ล่วงหน้าหลายพันปีมาแล้ว
( ปฐมกาล3:19) เมื่อหลายปีก่อนนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบความจริงเกี่ยวกับอะตอม พระเจ้าได้กล่าวถึงเรื่องนี้ในพระคัมภีร์ด้วยเช่นกัน( ฮีบรู11:3) สิ่งนี้และอีกหลายๆอย่างในธรรมชาติ ได้แสดงถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่และความรู้อันล้ำเลิศของพระองค์ ซึ่งละเอียดซับซ้อนยิ่งนัก พระคัมภีร์กล่าวว่า “ ถ้าเรารับพยานหลักฐานของมนุษย์ พยานหลักฐานของพระเจ้าก็ยิ่งใหญ่กว่า …”
(1ยอห์น5:9) ธรรมชาติและพระคัมภีร์เป็นหลักฐานของพระเจ้า วิทยาศาสตร์ที่แท้จริงแสดงความจริงของพระเจ้าฝ่ายธรรมชาติ พระคัมภีร์แสดงความจริงของพระเจ้าฝ่ายวิญญาณ ถ้าพระคัมภีร์กล่าวถึงวิทยาศาสตร์อย่างถูกต้องแน่นอนแล้ว พระคัมภีร์ก็กล่าวถูกต้องและแน่นอนในฝ่ายจิตวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน พระคัมภีร์ของคริสเตียนเป็นหนังสือที่บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เราต้องเชื่อพระคัมภีร์ เมื่อพระคัมภีร์กล่าวว่า พระเจ้าผู้ประกอบไปด้วยความรัก ความเมตตา ความยุติธรรม และความบริสุทธิ์ วิทยาศาสตร์เป็นความรู้ที่แท้จริง และ “พระเจ้าเป็นเจ้าของความรู้...” ( 1ซามูเอล2:3 ) เราจะต้องระมัดระวังสิ่งที่คนคิดกันว่าเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งบางครั้งมันเป็นวิทยาศาสตร์ที่เท็จ ฉะนั้นให้เราละเว้น “ ...ในความเห็นที่สำคัญผิดว่าเป็นความรู้ ” (1ทิโมธี 6:20 ) ในพระคัมภีร์กล่าวว่า “ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมา เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”
(ยอห์น 3:16 )

No comments: